รอยเตอร์ - นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ได้หารือความสัมพันธ์ด้านพลังงานและการค้ากับนายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง ของเวียดนาม ระหว่างเยือนกรุงฮานอยในวันอาทิตย์ (13) ที่นับเป็นการเยือนครั้งแรกของผู้นำเยอรมนีในรอบกว่าทศวรรษ
การแวะเยือนเวียดนามของชอลซ์ระหว่างเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ในอินโดนีเซีย ตอกย้ำถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานโลก เมื่อบริษัทเยอรมนีหลายแห่งกำลังพิจารณาที่จะกระจายการดำเนินงานด้านการผลิตของพวกเขา ด้วยการขยายออกนอกจีน ที่เป็นศูนย์กลางหลักในเอเชียของพวกเขา
ในการแถลงข่าวร่วมกับผู้นำเวียดนาม ชอลซ์กล่าวว่า เบอร์ลินต้องการความสัมพันธ์ทางการค้าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับเวียดนาม และจะสนับสนุนการเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศ รวมถึงผ่านการขยายระบบรถไฟฟ้าในกรุงฮานอย
การเยือนฮานอยมีขึ้นหลังจากการเดินทางเยือนจีนของชอลซ์เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นการเยือนครั้งแรกของผู้นำตะวันตกในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เริ่มขึ้น และเขามีกำหนดเดินทางเยือนสิงคโปร์เป็นลำดับถัดไป ก่อนมุ่งหน้าไปร่วมการประชุม G20 ในวันที่ 15-16 พ.ย.
เวียดนามและสิงคโปร์เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นผลให้พวกเขาเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรปในภูมิภาค
เยอรมนีเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของเวียดนามในบรรดาประเทศในสหภาพยุโรปรองจากเนเธอร์แลนด์ โดยมูลค่าการค้าแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 7,800 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ตามการระบุของสำนักงานกฎหมาย Dezan Shira แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีมูลค่าน้อยกว่าสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
หอการค้าเยอรมนีในเวียดนามระบุว่า มีบริษัทสัญชาติเยอรมันราว 500 แห่งดำเนินการอยู่ในเวียดนาม และในจำนวนนั้นมี 80 แห่ง ที่มีโรงงานผลิตในประเทศ หนึ่งในนั้นคือบริษัท Bosch บริษัท Messer และบริษัทขนาดเล็กอีกหลายแห่งที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์โลก
หลายบริษัทต้องการที่จะกระจายกิจกรรมบางส่วนของพวกเขาออกจากจีน ที่มีบริษัทเยอมนีราว 5,000 แห่งดำเนินการอยู่ ตามการระบุของผู้อำนวยการหอการค้าเยอรมนีในเวียดนาม และกว่า 90% ของบริษัทที่มีแผนดังกล่าว มองว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตัวเลือกที่พวกเขาต้องการ โดยเวียดนามและไทยเป็นปลายทางที่ได้รับความนิยมในภูมิภาคนี้.
