รอยเตอร์ - กลุ่มสิทธิมนุษยชนเตือนว่าประชาชนในกรุงพนมเปญมากกว่า 1 ล้านคนจะเผชิญความเสี่ยงจากน้ำท่วมมากขึ้น และสูญเสียวิถีชีวิตความเป็นอยู่ เมื่อพื้นที่ชุ่มน้ำในเมืองหลวงของกัมพูชาถูกทำลายเพื่อนำไปสร้างอพาร์ตเมนต์และพื้นที่อุตสาหกรรม
การพัฒนาที่รวมทั้งเมือง ING City จะลดพื้นที่ชุ่มน้ำบึงตำบุน จนเหลือน้อยกว่า 1 ใน 10 ของบึงขนาด 9,375 ไร่ และนำไปสู่การไล่ที่ชาวบ้านมากกว่า 1,000 คน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว นักเคลื่อนไหวระบุ
โครงการพัฒนาที่ดินยังทำให้หลายพันครอบครัวที่ทำการเกษตรและจับปลาในพื้นที่ชุ่มน้ำดังกล่าวต้องยากจนลง
“พื้นที่ชุ่มน้ำหล่อเลี้ยงชุมชนท้องถิ่นและมีบทบาทสำคัญในการจัดการน้ำเสียและป้องกันน้ำท่วมของกรุงพนมเปญ” รายงานขององค์กร Equitable Cambodia, LICADHO, Cambodian Youth Network และองค์กรสิทธิที่ดิน Sahmakum Teang Tnaut (STT) ระบุ
“ชาวเขมรหลายล้านคนมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากผลรุนแรงของการทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำ” รายงานระบุ
กรุงพนมเปญ ตั้งอยู่บนฝั่งของแม่น้ำโตนเลสาบ แม่น้ำโขง และแม่น้ำบาสัก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือน มิ.ย. ถึงเดือน ต.ค.
นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม กล่าวว่า พื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ที่ราบน้ำท่วมถึง ป่าชายเลน และหนองบึงต่างๆ ช่วยควบคุมการไหลของน้ำ ลดน้ำท่วม ทำให้น้ำสะอาด และเติมน้ำใต้ดิน
“เจ้าหน้าที่ของกรุงพนมเปญควรยอมรับว่าพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นเป็นทรัพยากรสำคัญที่ควรได้รับการปกป้องและบูรณาการเข้ากับสภาพแวดล้อมของเมือง” ไดแอน อาร์เชอร์ กล่าวกับรอยเตอร์
“แต่ในหลายๆ เมือง การขยายตัวเกิดขึ้นโดยไม่มีการบังคับใช้การวางผังชุมชนเมืองหรือประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเชิงลึกซึ่งมีความจำเป็น” อาร์เชอร์ กล่าว
เมืองต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความต้องการที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยและสำนักงานเป็นสิ่งที่เพิ่มแรงกดดันเกี่ยวกับที่ดินมากขึ้น
องค์กรอนุรักษ์ Wildfowl and Wetlands Trust (WWT) ระบุว่า กัมพูชาลงนามเห็นชอบในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ชุ่มน้ำกลับหายไป ขณะที่กลุ่มสิทธิที่ดิน STT ระบุว่า บึงน้ำ 15 แห่งจาก 25 แห่งในกรุงพนมเปญ ถูกถมที่ และราว 1 ใน 3 ของพื้นที่ชุ่มน้ำตำบุนถูกถมที่เช่นกัน
การขุดลอกทรายมากกว่า 100 ล้านตันเพื่อนำมาถมบึงน้ำ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม คนหลายล้านจะได้รับผลกระทบ การศึกษาเชิงลึกและการปรึกษาหารือสาธารณะมีความจำเป็น เอียง วุทธี ผู้อำนวยการบริหารองค์กร Equitable Cambodia ระบุ
ด้านโฆษกรัฐบาลกล่าวว่า การปรับปรุงที่ดินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาเมือง และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว
“เรากำลังขุดคลองกำลังเพื่อผันน้ำส่วนเกิน และมีโรงงานบำบัดน้ำเสีย บางคนจำเป็นต้องย้ายที่ ซึ่งพวกเขามีเวลามากพอที่จะย้าย” พาย สีพัน โฆษกรัฐบาล กล่าว
ระหว่างปี 2550-2551 ชาวบ้านในกรุงพนมเปญเกือบ 4,000 ครอบครัวที่อาศัยอยู่รอบบึงกาก ถูกไล่ที่เพื่อปรับพื้นที่บึงให้เป็นย่านธุรกิจ
เอียง วุทธี กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องให้ความสำคัญต่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ รูปแบบการพัฒนาอย่างสมดุลที่ทั้งปกป้องสิทธิของผู้คนและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับการพัฒนาชุมชนเมืองนั้น ต้องมีการให้คำปรึกษาหารือและการวิจัยที่มีความหมาย.