เอเอฟพี - องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ระบุวันนี้ (14) ว่า มีชาวมุสลิมโรฮิงญาอย่างน้อย 6,700 คน ถูกฆ่าในเดือนแรกของการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธโดยกองทัพพม่าในรัฐยะไข่ ที่เริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือน ส.ค.
ตัวเลขดังกล่าวเป็นยอดผู้เสียชีวิตที่ประเมินได้สูงสุดจากความรุนแรงที่ปะทุขึ้นในวันที่ 25 ส.ค. และก่อให้เกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาล ที่ชาวโรฮิงญามากกว่า 620,000 คน หลบหนีจากพม่าไปบังกลาเทศในระยะเวลา 3 เดือน
สหประชาชาติ และสหรัฐฯ ได้อธิบายถึงปฏิบัติการของทหารพม่าว่า เป็นการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยมุสลิม แต่ไม่มีการเปิดเผยยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ
“จากการประเมินอย่างรอบคอบที่สุด คาดว่า มีชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 6,700 คน ถูกสังหาร ซึ่งรวมทั้งเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ อย่างน้อย 730 คน” MSF ระบุ
ข้อค้นพบของกลุ่มมาจากการสำรวจ 6 ครั้ง กับผู้ลี้ภัยมากกว่า 2,434 ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยโรฮิงญา และครอบคลุมระยะเวลา 1 เดือน
“เราพบ และพูดคุยกับผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในพม่า ที่ตอนนี้มาพักอยู่ในค่ายที่แออัด และไม่ถูกสุขอนามัยในบังกลาเทศ” ผู้อำนวยการของ MSF กล่าว
“สิ่งที่เราค้นพบนั้นสร้างความตกใจ ทั้งในแง่ของจำนวนคนที่รายงานว่าสมาชิกครอบครัวเสียชีวิตที่เป็นผลของความรุนแรง และวิธีการอันน่าสยดสยองที่คนเหล่านั้นถูกฆ่า หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส” MSF ระบุ
จากการสำรวจพบว่า บาดแผลจากกระสุนปืนเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตถึง 69% ส่วนอีก 9% รายงานว่าถูกเผาทั้งเป็นในบ้าน และอีก 5% เสียชีวิตจากการทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง และสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ เกือบ 60% เสียชีวิตเพราะถูกยิง
กองทัพพม่าปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ และระบุว่า มีผู้เสียชีวิตเพียง 400 คน ที่รวมทั้งผู้ก่อการร้ายโรฮิงญา 376 คน ในช่วงไม่กี่สัปดาห์แรกของการปราบปราม
แต่ MSF ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตสูงสุดเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างของทหาร และกองกำลังท้องถิ่นในปลายเดือน ส.ค. และมีหลักฐานว่าชาวโรฮิงญาตกเป็นเป้าหมาย.