เอเอฟพี - บนจุดสูงสุดของภูเขาฟานสิปาน (Fansipan) ของเวียดนาม นักท่องเที่ยวจำนวนมากพร้อมไม้เซลฟี่ในมือต่างพยายามหาจุดที่ดีที่สุดเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกบนยอดเขาสูง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ห่างไกลในเขตเมืองซาปา ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากทิวทัศน์อันสวยงามจนแทบหยุดหายใจ
การเดินทางไปยังยอดเขาฟานสิปาน ที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในคาบสมุทรอินโดจีน แต่เดิมนั้นต้องใช้เวลาเดินเขานาน 2 วัน แต่ทุกวันนี้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกใช้บริการรถกระเช้าไฟฟ้า ที่ใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาทีก็สามารถพิชิตยอดเขาแห่งนี้ได้ ที่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งล่าสุด ที่มาพร้อมกับความวิตกที่กำลังเพิ่มขึ้นว่า การพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้นกำลังทำลายความงดงามตามธรรมชาติของซาปา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวในซาปาขยายตัวเติบโตอย่างมาก พร้อมกับการสร้างทางหลวงสายใหม่จากเมืองหลวง และโรงแรมที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด
"หากสิ่งปลูกสร้างเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่งเราจะเสียซาปาไป เราจะไม่มีภูเขาเหลืออีก" มัคคุเทศก์ท้องถิ่นชาวม้งดำ กล่าว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเวียดนามเติบโตขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชาวเวียดนามที่มีความต้องการและงบประมาณมากขึ้นสำหรับการเดินทาง นอกจากนั้นเวียดนามยัง
กลายเป็นปลายทางดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มหันหลังให้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่รู้จักกันดีในภูมิภาค ในความพยายามที่จะมองหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ
แต่การทำให้สมบัติของประเทศเป็นเรื่องทางการค้า ก็มาพร้อมกับเสียงร้องเรียนจากคนท้องถิ่น เช่นที่เกิดขึ้นกับ อ่าวฮาลองที่มีการเสิร์ฟอาหารในถ้ำ หรือ ชายหาดที่เต็มไปด้วยขยะบนเกาะฟุก๊วก
ในเมืองซาปา เวลานี้เต็มไปด้วยเศษหินเศษปูนกองสุมตามพื้นที่ก่อสร้างที่กำลังสร้างโรงแรมที่พัก โดยจำนวนห้องพักในเมืองเพิ่มขึ้นจาก 2,500 ห้อง ในปี 2553 เป็น 4,000 ห้อง เมื่อปีก่อน ตามรายงานของทางการ ขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวก็เพิ่มสูงขึ้นที่ราว 700,000 คน เมื่อปีก่อน ส่วนรายได้ก็พุ่งขึ้นถึง 3 เท่า นับตั้งแต่ปี 2553 ที่ 50 ล้านดอลลาร์
.
.
ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เมืองเติบโตอย่างรวดเร็วนั้นคือ รถกระเช้าไฟฟ้า ที่ผู้ประกอบการอ้างว่าเป็นรถกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนก.พ. สามารถพานักท่องเที่ยวไปยังยอดเขาได้มากถึง 2,000 คนต่อวัน
"มันเป็นเรื่องดีสำหรับซาปา ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น และคนท้องถิ่นจำนวนมากได้มีงานทำ" เหวียน วัน แม็งห์ รองผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวเมืองซาปา กล่าว
แต่ในทางกลับกัน คนท้องถิ่นกลับบอกเล่าเรื่องราวที่ต่างออกไป
"ก่อนที่จะมีรถกระเช้าไฟฟ้า ที่นี่เคยมีลูกหาบจำนวนมาก แต่ตอนนี้ ชาวบ้านไม่มีงานทำแล้ว ส่วนใหญ่กลายเป็นคนงานรับจ้างก่อสร้างชั่วคราว" ไกด์เดินป่าชาวม้งจากยอดเขาฟานสิปาน กล่าว
รัฐบาลไม่สนใจกับเสียงคัดค้านการก่อสร้างรถกระเช้าไฟฟ้า ซึ่งไกด์ชาวม้งกล่าวเสริมว่า กิจการเดินป่าหดตัวลง นับตั้งแต่รถกระเช้าไฟฟ้าถูกสร้างขึ้น เพราะมีนักท่องเที่ยวเหลือแค่ไม่กี่คนที่ยังเลือกปีนเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง
"เราพูดกับพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้รับฟังเรา รัฐบาลกลางมาที่นี่และบอกว่าพวกเขาต้องสร้าง แล้วก็ลงมือสร้าง" ชาวม้งคนเดิม กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีนักท่องเที่ยวบางส่วนระบุว่า ซาปากำลังสูญเสียมนต์เสน่ห์ของตัวเอง ด้วยยอดเขาฟานสิปานที่มีภูมิทัศน์อันสวยงาม กลับถูกแทนที่โดยขั้นบันไดคอนกรีต ร้านขายของที่ระลึก และวัดที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
"ผมจินตนาการว่าผมจะอยู่บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริง แต่สิ่งปลูกสร้างที่นี่ สำหรับผมแล้วก็รู้สึกผิดหวังอยู่เหมือนกัน" นักปีนเขาชาวเวียดนาม ที่ไต่ขึ้นมาถึงความสูง 3,143 เมตร กล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม นักปีนเขารายนี้ตัดสินใจที่จะลงจากยอดเขาด้วยรถกระเช้าไฟฟ้า และเห็นพ้องว่ารถกระเช้าไฟฟ้านี้ช่วยให้ผู้คนสามารถขึ้นมาชื่นชมภูเขาแห่งนี้ได้มากขึ้น
"สำหรับคนอื่นๆ ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องดี เพราะมันเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่า" นักท่องเที่ยวอายุ 23 ปี กล่าว
.
.
ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าการเติบโตนำการพัฒนาที่จำเป็นมากมายมาสู่พื้นที่ เช่น ถนน โรงเรียน และคลินิก ด้วยประชากรส่วนใหญ่เป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ 53 กลุ่มของเวียดนาม ที่ยังพัฒนาน้อยกว่าพื้นที่อื่นๆ ที่เหลือของประเทศ
"หากไร้การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซาปาเสี่ยงที่จะทำลายตัวเอง" อูแบร์ เดอ มูร์ราด์ ผู้จัดการที่พัก Topas Ecolodge ที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองซาปา ราว 18 กิโลเมตร กล่าว
ที่พักสไตล์บังกะโล สร้างด้วยหินแกรนิตสีขาว 25 หลัง โอบล้อมด้วยทุ่งนาขั้นบันได และจ้างพนักงานที่เป็นคนท้องถิ่น ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัสดุในพื้นที่ และออกแบบให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ต้นแบบธุรกิจที่ เดอ มูร์ราด์ กล่าวว่าต้องการที่จะเห็นผู้ประกอบการรายใหม่นำไปประยุกต์ใช้
เดอ มูร์ราด์ กังวลว่า การลงทุนบางรายมองเพียงระยะสั้น ตั้งเป้าแค่จะดึงนักท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุดเท่านั้น
"สำหรับปลายทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติแบบที่นี่ กับสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการอนุรักษ์ การมองระยะสั้นคงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เราจำเป็นต้องดูแลรักษาให้มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดของการท่องเที่ยวแบบมวลชนในซาปา" เดอ มูร์ราด์ กล่าวทิ้งท้าย.
.