รอยเตอร์ - ความไม่สงบในพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า กำลังสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเด็กๆ กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ระบุ และเรียกร้องการเข้าถึงด้านมนุษยธรรมอย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่ทางเหนือของรัฐยะไข่ ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม
ประชาชนหลายหมื่นคนถูกตัดขาดจากอาหาร และความช่วยเหลือจากหน่วยงานระหว่างประเทศ นับตั้งแต่เกิดเหตุโจมตีรุนแรงยังฐานชายแดนตำรวจตามแนวชายแดนบังกลาเทศเมื่อวันที่ 9 ต.ค.
“ขณะที่ความช่วยเหลือบางอย่างถูกจัดส่งไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ยูนิเซฟเรียกร้องให้มีการฟื้นคืนการบริการที่จำเป็นอย่างเต็มรูปแบบ และยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดต่อความเคลื่อนไหวด้านสุขภาพ และความเชี่ยวชาญอื่นๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงเด็ก และครอบครัวได้อย่างปลอดภัย” คำแถลงฉบับหนึ่งของยูนิเซฟ ระบุ
กองกำลังทหารได้ระดมลงพื้นที่เพื่อตอบโต้เหตุโจมตีของผู้ก่อเหตุไม่สงบซึ่งเชื่อว่ามาจากกลุ่มชาวโรฮิงญา กองทัพประกาศให้พื้นที่เป็นเขตปฏิบัติการทางทหาร ปิดกั้นความช่วยเหลือและห้ามผู้สื่อข่าวและผู้สังเกตการณ์ต่างชาติเข้าไปในพื้นที่เมืองหม่องดอ ขณะที่ประชาชน และผู้ตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระบุว่า มีการวิสามัญฆาตกรรม ข่มขืน และจับกุมตัวโดยพลการ เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว
เมื่อวันอังคาร (8) โครงการอาหารโลก (WFP) ระบุว่า ได้เริ่มจัดส่งความช่วยเหลือด้านอาหารชุดแรกเข้าไปในเมืองหม่องดอ ซึ่งจะเข้าถึงประชาชนราว 6,500 คน ใน 4 หมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง แต่ตามปกติแล้ว ความช่วยเหลือของหน่วยงานจะเข้าถึงประชาชนมากถึง 152,000 คน ในรัฐยะไข่ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่เป็นชาวมุสลิมโรฮิงญา ที่เผชิญต่อข้อจำกัดการเคลื่อนไหว และการเข้าถึงการบริการต่างๆ
รายงานสถิติของสหประชาชาติ ระบุว่า อัตราการขาดแคลนอาหารในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี อยู่ที่ร้อยละ 9 ในเมืองหม่องดอ
การเข้าถึงอย่างจำกัดเกิดขึ้นหลังคำร้องขอจากนักการทูต และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติในพม่า ที่เดินทางลงพื้นที่เมืองหม่องดอ เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยคณะเจ้าหน้าที่ได้เรียกร้องให้มีการสืบสวนอิสระในข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิ และให้โครงการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ได้รับอนุญาตให้กลับมาดำเนินการตามปกติอีกครั้ง.