รอยเตอร์ - นายกรัฐมนตรีเหวียน ซวน ฟุก ของเวียดนาม เผยว่า เวียดนามจะไม่เสริมแสนยานุภาพทางทหารในทะเลจีนใต้ และจะทำงานร่วมกับพันธมิตรที่จะแก้ไขปัญหาข้อพิพาทอย่างสันติ ปราศจากการใช้กำลัง
ในการให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวต่างชาติที่หาได้ยาก หลังการเยือนของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำเวียดนาม กล่าวว่า พลวัตของทะเลจีนใต้เติบโตในความซับซ้อน และต้องการมิตรในภูมิภาค และหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อให้แน่ใจว่ามีความสามัคคี และหลีกเลี่ยงการขัดขวางใดๆ ต่อการค้าทางทะเล
ความเห็นของผู้นำเวียดนามมีขึ้น 2 วัน หลัง โอบามา ประกาศยกเลิกการห้ามค้าอาวุธร้ายแรงต่อเวียดนาม ที่อนุญาตให้กองทัพของเวียดนามมีส่วนร่วมใกล้ชิดขึ้นกับกองทัพสหรัฐฯ และจัดหาเทคโนโลยีด้านการป้องกันของอเมริกา
“เวียดนามไม่ได้เพิ่มแสนยานุภาพทางทหาร แต่เวียดนามพยายามป้องกันอธิปไตยของประเทศ เริ่มแรกด้วยมาตรการที่สันติ มาตรการทางการทูต และแม้แต่มาตรการทางศาล เวียดนามเป็นประเทศที่รักความสงบ และแก้ไขประเด็นปัญหาระดับภูมิภาค และระหว่างประเทศตามกฎหมายระหว่างประเทศ ในจิตวิญญาณของการไม่ใช้กำลัง และไม่ใช้กำลังเพื่อข่มขู่คุกคามผู้อื่น” เหวียน ซวน ฟุก กล่าว
เหวียน ซวน ฟุก เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนก่อน และเป็นสมาชิกกลุ่มผู้นำที่มีภารกิจที่ยากลำบากในการรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดของพรรคคอมมิวนิสต์กับจีน ขณะเดียวกัน ก็อยู่ภายใต้แรงกดดันจากประชาชนของประเทศที่ไม่พอใจการรุกรานทางทะเลของปักกิ่ง
การยุติการห้ามค้าอาวุธของสหรัฐฯ หนึ่งในร่องรอยสุดท้ายของสงครามเวียดนาม อาจเป็นการส่งเสริมครั้งใหญ่ ที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นการแสวงหาการป้องปรามของเวียดนามด้วยการพัฒนากองกำลังให้ทันสมัยเพื่อปกป้องชายฝั่งประเทศ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แต่ฟุก กล่าวว่า สิ่งสำคัญอย่างแรกคือ การนำชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหุ้นส่วน เช่น ญี่ปุ่น เห็นชอบที่จะลดระดับความตึงเครียดอย่างสันติ และไม่ใช้กำลังในการคุกคามข่มขู่
“เวียดนามไม่มีนโยบายเสริมแสนยานุภาพทางทหาร แต่เรามีมาตรการจำเป็นในการทำงานร่วมกันกับชาติอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่ามีความสงบสุข เสรีภาพในการเดินเรือ การบิน และการค้า”
เหวียน ซวน ฟุก ยกย่องความสำเร็จของการเยือนเวียดนามของโอบามา ที่สิ้นสุดลงไปเมื่อวันพุธ (25) โดยกล่าวว่า ผู้นำเวียดนาม และประชาชนต้อนรับผู้นำสหรัฐฯ ด้วยความรัก และมิตรภาพ ขณะที่ฝ่ายโอบามา ได้กล่าวว่ารู้สึกประทับใจต่อการต้อนรับของประชาชนชาวเวียดนาม และขอบคุณอย่างมาก
ในประเด็นด้านเศรษฐกิจ ผู้นำเวียดนาม ระบุว่า แม้เวียดนามจะปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ประเทศก็ดำเนินการตามเศรษฐกิจตลาด และการเปิดเสรีการค้า ซึ่งคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นอุปสรรค และสิ่งสำคัญสำหรับเวียดนาม คือ การจัดการหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น และรักษาสัดส่วนให้ต่ำกว่า 65% ของจีดีพี ขณะเดียวกัน ก็คงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 6.5-7% ในอีก 5 ปีข้างหน้า.