นิวไล้ท์ออฟเมียนมาร์ - ถึงแม้ว่าความต้องการทั้งภายใน และต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นมากมายในแต่ละปีก็ตาม รัฐวิสาหกิจไม้ซุงพม่า (Myanma Timber Enterprise) ได้ประกาศที่จะผลักดันให้ความต้องการลดลงเหลือเพียง 1.16 ล้านตันต่อปี
การเพิ่มขึ้นของโครงการก่อสร้างต่างๆ ในประเทศ เป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดในการเพิ่มขยายความต้องการไม้ ซึ่งในปัจจุบันทางการอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะ เพื่อการตกแต่งและการผลิตเฟอร์นิเจอร์เท่านั้น รองผู้จัดการใหญ่รัฐวิสาหกิจฯ นายวินนาย (Win Naing) กล่าวต่อโกลบอลนิวไล้ท์ ออฟ เมียนมาร์
นายนาย กล่าวว่า การตัดไม้ในปีงบประมาณที่ผ่านมา (สิ้นสุด 31 มี.ค.) มีทั้งหมด 925,050 ตัน และในปีงบประมาณนี้ กระทรวงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการป่าไม้ จัดโควตาให้เพียง 730,000 ตัน และจนถึงเดือน ต.ค.นี้ มีการทำไม้สัก กับไม้เนื้อแข็งชนิดอื่นๆ รวมกันเกือบ 130,000 ตัน
นับตั้งแต่รัฐบาลขึ้นบริหารประเทศ รัฐวิสาหกิจไม้ซุงพม่าได้ลดการผลิตไม้ลงทุกปี โดยมีเป้าหมายให้ระบบนิเวศมีความยั่งยืน ตั้งแต่เดือน เม.ย.ปีนี้เป็นต้นมา พม่าได้ห้ามการส่งออกไม่ท่อนและไม้ซุง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวกับไม้ภายในประเทศ และในปัจจุบันการซื้อขายไม้กระทำโดยระบบการประกวดราคาแบบเปิด
ปัจจุบัน พม่าส่งออกไม้ และผลิตภัณฑ์จากไม้ไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นด้วย นอกจากนั้น ยังได้เซ็นสัญญาการค้าไม้กับสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้สมาชิกสมาคมผลิตภัณฑ์ไม้ระหว่างประเทศ (International Wood Products Association - IWPA) ซึ่งเป็นองค์กรในสหรัฐฯ ซื้อไม้จากพม่าได้ปีละ 1 ครั้ง
ตามสถิติอย่างเป็นทางการโดยกระทรวงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมฯ จนถึงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา รัฐวิสาหกิจไม้ซุงมีรายได้จากการค้าไม้รวม 236.273 ล้านดอลลาร์ กับเงินสกุลพม่าอีก 48,830 จ๊าต หรือประมาณ 57 ดอลลาร์.