ASTVผู้จัดการออนไลน์ - จนบัดนี้ก็ยังไม่มีฝ่ายใดแน่ใจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า โครงการเขื่อนมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ ใน จ.เกาะกง โดยกลุ่มซิโนไฮโดร (Sinohydro Corp) จากจีนได้หยุดลงแล้วจริงหรือไม่ หลังจากคาราคาซังมาเป็นเวลา 5 ปี และถูกต่อต้านอย่างหนักจากราษฎรในพื้นที่ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ “ขแมร์เดิม” (Khmer Daeum) หลายกลุ่ม ที่กล่าวว่า เขื่อนกำลังจะทำลายแหล่งทำกิน และวิถีชีวิตของพวกเขา ขณะที่องค์การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมต่างๆ กล่าวว่า เขื่อนจะทำให้น้ำท่วมเขตป่าสงวนสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่อยู่ของฝูงช้างป่า สัตว์ป่าหายากอีกหลายชนิด รวมทั้ง จระเข้พันธุ์สยามที่ใกล้สูญพันธุ์
ในช่วงปี 2551-2552 รัฐบาลกัมพูชาออกใบอนุญาตให้นักลงทุนจากจีน สำรวจโครงการเขื่อนหลายแห่งในอาณาบริเวณเดียวกัน และก่อนหน้านี้ได้อนุมัติการก่อสร้าง เขื่อนกั้นลำน้ำอาไต (Stung Atay) กับอีก 2 แห่ง โดยนักลงทุนจากจีนเช่นกัน แต่โครงการสตึงอาแรง (Stung Areng) ซึ่งบริษัทจีนสำรวจแล้วเสร็จมาตั้งแต่ปลายปีปี 2552 ยังคงคั่งค้างอยู่ และได้เปลี่ยนมือไปสู่นักลงอีกกลุ่มหนึ่งเมื่อต้นปีนี้
กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติไม่ค่อยแน่ใจนัก หลังมีข่าวออกมาจากนายสัมรังสี หัวหน้าพรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านใหญ่ที่สุดในประเทศ ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรต้นเดือน ต.ค.นี้ และข้ามสัปดาห์ต่อมา กลุ่มอนุรักษ์ฯ หลายกลุ่มได้ออกแสดงความยินดีปรีดา โดยถือเป็นชัยชนะของกระบวนการต่อสู้พิทักษ์ปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่า แต่หลายฝ่ายยังข้่องใจ เนื่องจากสิ่งที่นายรังสี ให้สัมภาษณ์ขัดต่อคำแถลงของหน่วยงานอื่นๆ ที่ระบุว่า โครงการชัยอาแรง (Chhay Areng) ยังเดินหน้าต่อไป เพื่อก่อสร้างให้แล้วเสร็จในปี 2563 ตามแผนการลงทุนใหม่
นายรังสี ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมรัฐสภาเมื่อต้นเดือนว่า ตนได้รับการยืนยันอย่างมั่นเหมาะจากนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ว่า ยังไม่ได้มีการตัดสินใจในเรื่องนี้ ซึ่งแต่เดิมเขื่อนขนาด 108 เมกะวัตต์แห่งนี้จะต้องแล้วเสร็จเริ่มปั่นไฟในปี 2558 แต่คงจะไม่เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลของตนบริหารประเทศ และปล่อยให้คนรุ่นหลังพิจารณากันต่อไป
ตามข้อมูลของกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่า เขื่อนชัยอาเรง จะทำให้เกิดพื้นที่น้ำท่วมราว 4,013 ตารางกิโลเมตร ในเขตป่าสงวนพนมกระวัญ หรือ “คาร์ดามอม” ซึ่งเป็นถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่อาศัยทำกินในหุบเขาแห่งนั้นมานานนับชั่วอายุคน และยังเป็นที่อาศัยสุดท้ายของสัวต์ป่าราว 31 ชนิด รวมทั้งช้างป่าโขลงใหญ่ กับจระเข้พันธุ์สยาม (Siamese Crocodile) ซึ่งเป็นจระเข้าน้ำจืดที่ใกล้สูญพันู์เต็มทีอีกด้วย.
.
.
.
.นักอนุรักษ์ไม่แน่ใจในสิ่งที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านให้สัมภาษณ์ เพราะว่าหลายหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ กระทรวงกระทรวงสิ่งแวดล้อมที่เป็นเจ้างาน ซึ่งนายสายซอมออล (Say Sam Al) รัฐมนตรีว่าการได้ตอบกระทู้ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาว่า โครงการยังไม่ได้ยกเลิกและกำหนดก่อสร้างยังไม่ได้เลื่อนออกไป ทั้งนี้ เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์
แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทที่ปรึกษาของโครงการใหม่ที่ยื่นขออนุญาตเข้าทำการสรวจผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของโครงการใหม่กล่าวว่า ยังคงรอคำตอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง และ ได้ติดตามทวงถามเรื่องนี้เป็นระยะๆ เพื่อก่อสร้างให้ทันกำหนด แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
แรกเริ่มเดิมทีโครงการเขื่อนชัยอาแรง ดำเนินการโดยกลุ่มไชน่าเซ้าเทิร์นพาวเวอร์กริด (China Southern Power Grid) และบริษัทไชน่ากว๋อเตียน (Guodian) ซึ่งเมื่อ 5 ปีที่แล้วคาดว่า การก่อสร้างจะใช้เงินลงทุนราว 300 ล้านดอลลาร์ แต่ทั้ง 2 บริษัทได้ถอนตัวออกไปเมื่อต้นปีนี้ และกลุ่มซิโนไฮโดรเข้าสวมแทน ทำให้ฝ่ายคัดค้านเขื่อนมีความกังวลมากยิ่งขึ้น เพราะว่ากลุ่มทุนใหม่มีนักธุรกิจการเมืองทรงอิทธิพล ที่สังกัดพรรครัฐบาลรวมอยู่ด้วยหลายคน
ตามตัวเลขที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมเผยแพร่ในเดือนนี้ เขื่อนชัยอาแรง ทำให้จะต้องโยกย้ายกลุ่มชาติพันธุ์ชาวชอง (Chong) ราว 1,300 คน ออกจากพื้นที่ แต่กลุ่มอนุรักษ์สภาพแวดล้อมกล่าวว่า ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ “เขมรเดิม” กลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบอีกจำนวนมาก ทั้งที่อาศัยทำกินในเขตป่า และในเขตทุ่งหญ้าผืนใหญ่ เนื่องจากสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไป ทำให้วิถีชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป.
