ASTVผู้จัดการออนไลน์ - หลังจากยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่า 20 ปี โครงการก่อสร้างสนามบินใหญ่ในภาคใต้เวียดนาม ที่ดูเป็นจริงเป็นจังได้เจออุปสรรคอีกครั้งหนึ่งในวันพุธ 8 ต.ค. เมื่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่กลั่นกรองยังไม่ยอมผ่านโครงการเข้าสู่ที่ประชุม และเรียกร้องให้รัฐบาลโดยกระทรวงขนส่ง ได้จัดทำแผนการลงทุนที่ระบุรายละเอียดอย่างชัดเจนมากขึ้น พร้อมให้ความมั่นใจในเรื่องแหล่งที่มาของเงินทุนที่จะใช้ก่อสร้างทั้ง 3 เฟส
คณะกรรมาธิการฯ ยังระบุด้วยว่า โครงการนี้มีรายจ่ายซ่อนเร้นอีกมากมาย รวมทั้งยิ่งค่าเวนคืนที่กว่า 3 หมื่น และการโยกย้ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบไปตั้งถิ่นฐานยังแหล่งใหม่ด้วย
คณะกรรมาธิการขอให้กระทวงขนส่ง จัดทำรายงานอย่างละเอียดชี้แจงว่า เพราะเหตุใดจึงไม่เลือกพัฒนายกระดับ และขยายสนามบินเบียนหว่า (Bien Hoa) ในจังหวัดโด่งนาย (Dong Nai) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือก รวมทั้งนำเสนอยุทธศาสตร์โดยรวมเกี่ยวกับแผนการก่อสร้างสนามแห่งใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้การพิจารณาโครงการของรัฐสภา ต้องเลื่อนออกไปอีกเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน จนถึงสมัยประชุมต้นปีหน้า
นายดีงลาถัง (Dinh La Thang) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ได้เข้ารายงานโครงการสนามบินแห่งใหม่ต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภาในวันพุธที่ผ่านมา และถูกกรรมาธิการหลายคนตั้งคำถามมากมาย หลายคนแสดงความกังขาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของแหล่งทุนที่จะสนับสนุนการก่อสร้างทั้ง 3 เฟส ตลอด 15-20 ปีข้างหน้า รวมทั้งวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการสนามบินขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศ สำนักข่าวเวียดนามเน็ตรายงานเรื่องนี้ในเว็บไซต์ข่าวภาษาเวียดนาม
“ก่อนอื่นรัฐบาลควรให้คำอธิบายอย่างละเอียด เพราะเหตุใดจึงเลือกแผนการลองแถ่ง (Long Thanh) แทนที่จะขยายสนามบินนานาชาติเตินเซินเญิ๊ต (Tan Son Nhat) หรือฟื้นฟู ขยายสนามบินเบียนหว่า (โด่งนาย)” เวียดนามเน็ตรายงานอ้าง นายเหวียนวันฟุก (Nguyen Van Phuc) คณะกรรมาธิการรัฐสภา ซึ่งขอให้รัฐบาลจัดทำรายงานข้อมูลการลงทุนฟื้นฟู และขยายสนามบินนครโฮจิมินห์ กับสนามบินในเมืองเอกของ จ.โด่งนาย นำเสนอตัวเลขต่างๆ อย่างละเอียด รวมทั้งเหตุผลที่ไม่เลือกพัฒนาสนามบินทั้ง 2 แห่งดังกล่าว
คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยังขอให้กระทรวงขนส่ง จัดทำรายงานรายละเอียดด้านการเงินโดยเฉพาะ แสดงหลักฐานการเจรจา และแสดงแหล่งที่มาของเงินลงทุนที่จะใช้ก่อสร้างทั้ง 3 เฟส อย่างชัดแจ้ง เนื่องจากที่ผ่านมา มีการพูดถึงเฉพาะเงินทุนที่จะใช้ก่อสร้างเฟสแรกเท่านั้้น คณะกรรมาธิการยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า โครงการสนามบินใหญ่ยังมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอยู่อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จะต้องจ่ายค่าเวนคืนที่ดินกว่า 5,000 เฮกตาร์ (กว่า 31,000 ไร่) ซึ่งอาจจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบอีกเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ และยังจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการอพยพคนหลายพันครอบครัวไปตั้งหลักแหล่งในที่ทำกินจัดสรรแห่งใหม่อีกด้วย
คณะกรรมาธิการยังขอให้รัฐบาลจัดทำรายงานอีกฉบับหนึ่ง แจกแจงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องต่างๆ แจกแจงผลดี และผลเสียจากการก่อสร้างสนามบินลองแถ่ง ประมาณการรายได้จากการให้บริการ การค้า และการท่องเที่ยว และแผนบริหารจัดการสนามบินใหญ่ในระยะยาวอีกด้วย
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ได้จัดทำรายงานอย่างละเอียด ส่งถึงกระทรวงขนส่ง กับคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจไม่ขยายสนามบินเตินเซินเญิ๊ต เพราะว่าอาจจะต้องใช้งบประมาณเท่ากับ หรือสูงกว่าการก่อสร้างสนามบินลองแถ่ง ที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ นอกจากนั้น การขยายสนามบินที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองจะสร้างปัญหามลพิษจนยากจะแก้ไข และไม่สอดคล้องต่อแผนพัฒนาของทางการนคร ที่ได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีไปก่อนหน้านี้
.
2
ตามตัวเลขล่าสุดที่เสนอในรายงานของกระทรวงขนส่ง การก่อสร้างสนามบินลองแถ่งในเฟสที่ 1 จะใช้เงินลงทุนทั้งหมดราว 164,589 แสนล้านด่งเงินเวียดนาม หรือประมาณ 7,837.57 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขประมาณการก่อนหน้านั้นราว 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะใช้เงินงบประมาณ กับเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance) จากรัฐบาล และองค์การระหว่างประเทศ เครดิตจากสถาบันการเงินต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งจากการขายพันธบัตรของรัฐบาล และเงินลงทุนร่วมโครงการจากภาคเอกชน
“นี่เป็นแพียงการลงทุนในเฟสที่ 1 ของโครงการลงทุนที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเท่านั้น ถ้าหากต้องลงทุนทั้ง 3 เฟสก็จะเป็นจำนวนมหาศาลมาก... ในอดีตก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่าการก่อสร้างโครงการขนส่งขนาดใหญ่ทุกแห่งจะใช้จ่ายจริงสูงกว่าประมาณการ สำหรับระยะเริ่มต้นอย่างมากมาย” ประธานคณะกรรมาธิการ ระบุ
คณะกรรมาธิการรัฐสภาเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจอิทธิพลอย่างสูงในระบอบรัฐสภา (National Assembly) ของคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่กลั่นกรองโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ ก่อนนำเสนอต่อรัฐสภา ที่ประกอบด้วย ผู้แทนราษฎรที่ผ่านการ่เลือกตั้งจากทั่วประเทศกว่า 400 คน
เมื่อหลายปีก่อน คณะกรรมาธิการชุดนี้ได้เป็นหัวหอกในการอภิปราย และลงมติคว่ำโครงการรถไฟฟ้าหัวกระสุนเชื่อมกรุงฮานอย กับนครโฮจิมินห์ของรัฐบาล ซึ่งผู้สังเกตุการณ์มองว่า เป็นผลจากการต่อสู้ชิงอำนาจการนำในรัฐบาลของผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์ 2 ปีก คือ กลุ่มที่สนับสนุน นายเจืองเติ๋นชาง (Truong Tan Sang) ซึ่งในขณะนั้นเป็นประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจ คณะกรรมการกลางพรรค และเป็นอดีตเลขาธิการพรรคสาขา และอดีตประธานคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ อีกฝ่ายหนึ่ง คือ นายเหวียนเติ๋นยวุ๋ง (Nguyen Tan Dung) นายกรัฐมนตรี บุคคลทั้ง 2 ต่างเป็นกรมการเมืองระดับสูงของพรรคคอมมมิวนิสต์เวียดนาม
อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้งปี 2554 นายยวุ๋ง ได้รับเลือกจากผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นเป็นรัฐสภา ให้ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลอีก 1 สมัย เป็นเวลา 5 ปี และ นายชาง ได้รับเลือกขึ้นเป็นประธานาธิบดี ประมุขแห่งรัฐ.