เอเอฟพี - เหยื่อการแย่งยึดที่ดินโดยชนชั้นปกครองของกัมพูชา ได้เรียกร้องศาลอาญาระหว่างประเทศให้เข้าตรวจสอบการขับไล่มวลชนที่เป็นเหตุอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ข้อความที่ระบุอยู่ในคำร้องที่จะยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในกรุงเฮก ระบุว่า ชาวกัมพูชาหลายแสนคนได้รับผลกระทบจากส่วนหนึ่งของการโจมตีอย่างกว้างขวาง และเป็นระบบต่อประชาชนพลเรือนตามนโยบายรัฐ
“ชนชั้นปกครองได้ยึดที่ดิน และจัดสรรปันส่วนพื้นที่หลายล้านไร่ไปจากชาวกัมพูชาที่ยากจน เพื่อนำใช้ประโยชน์ หรือเก็งกำไรโดยบรรดาสมาชิกในกลุ่มผู้ปกครองและนักลงทุนต่างชาติ” ส่วนหนึ่งของคำร้องที่จะยื่นในนามของเหยื่อโดยทนายความริชาร์ด โรเจอร์
กลุ่มช่วยเหลือคาดการณ์ว่า มีประชาชนราว 770,000 คน หรือ 6% ของประชากรกัมพูชา ถูกขับไล่ ตั้งแต่ปี 2543 และรวมกับอีก 20,000 คน ที่ถูกขับไล่ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2557
ที่ดินถูกยึดไปอย่างน้อย 25 ล้านไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 22% ของที่ดินทั้งหมดของประเทศ มักนำไปทำเป็นสวนยาง หรือไร่อ้อย
“ใครก็ตามที่ต่อต้านจะถูกยิง ข่มขืน หรือถูกดำเนินคดี มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมโหฬาร ทั้งหมดนี้เพื่อบรรดาชนชั้นปกครองกลุ่มเล็กๆ ที่ร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ และผูกขาดอำนาจ” โรเจอร์ กล่าว และว่า บรรดาเหยื่อการแย่งยึดที่ดินนั้นมีทั้งถูกส่งไปยังที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ หรือถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รู้จะไปที่ใด
โรเจอร์ ระบุว่า ขณะที่ชาติตะวันตกพยายามที่จะตั้งเงื่อนไขความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชน แต่จีนกลับเพิ่มความช่วยเหลือให้ทุนโดยไม่ตั้งคำถาม
หนังสือร้องเรียนระบุ ชนชั้นปกครองได้ปราบปรามการต่อต้านด้วยการโจมตีแกนนำประชาสังคม พระสงฆ์ ผู้สื่อข่าว ทนายความ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และผู้ชุมนุมประท้วง และข้อกล่าวหายังรวมทั้งคดีฆาตกรรมที่มีแรงจูงใจทางการเมืองกว่า 300 คดี นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990
“มีเหตุที่น่าเชื่อว่า สมาชิกของชนชั้นปกครองได้กระทำ ช่วยเหลือ สนับสนุน สั่งการ และหรือปลุกปั่นการก่ออาชญากรรมของการบังคับถ่ายโอน สังหาร จำคุกอย่างผิดกฎหมาย และการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอื่นๆ”
ทุกคนสามารถยื่นคำร้องต่อสำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ และสำนักงานจะเป็นผู้ตัดสินใจว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะรับประกันการสอบสวนอย่างเป็นทางการได้
กัมพูชา ได้ให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรมของศาลที่ระบุให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจในการตัดสินคดีต่อการกระทำทางอาญาที่ร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่ปี 2545
“หมู่บ้านทั้งหมดถูกเผาเหลือแต่ซาก ทรัพย์สินถูกขโมย หรือโดนทำลายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และบริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชน ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลไกรัฐ ผู้เห็นต่างหรือต่อต้านถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายโดยนักสังหารมืออาชีพ หรือถูกจำคุกในข้อหาปลอม” คำร้องระบุ
ในเดือน ม.ค.2552 เกิดเหตุขับไล่ที่เพื่อเปิดทางให้แก่โครงการพัฒนาที่ดินในกรุงพนมเปญ ตำรวจพร้อมอาวุธปืน กระบองเหล็ก และไฟฟ้า ท่อนไม้ แก๊สน้ำตา และปืนฉีดน้ำแรงดันสูง เข้าบังคับให้ชาวบ้านกว่า 400 ครอบครัวต้องย้ายออก
นักสังคมสงเคราะห์ และเหยื่อไล่ที่คนหนึ่ง กล่าวว่า การขับไล่ที่เกิดขึ้นเลวร้ายยิ่งกว่าสมัยพลพต ในช่วงเขมรแดง ประชาชนถูกบังคับให้อพยพออกจากกรุงพนมเปญ แต่พวกเขาไม่ได้ทำลายบ้านเรือน และยกให้ที่ดินทั้งหมดให้แก่ใคร
เอกสารสิทธิที่ดินยังคงเป็นประเด็นคลุมเครือในกัมพูชาที่สิทธิความเป็นเจ้าของของเอกชนถูกยกเลิกลงในช่วงการปกครองของเขมรแดง และเอกสารทางกฎหมายจำนวนมากสูญหายไป
คำร้องระบุว่า ระบบยุติธรรมของกัมพูชาไม่ดำเนินคดีต่อผู้ถูกกล่าวหาใดๆ กรณีนี้จึงขึ้นอยู่กับอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศที่จะพิจารณาว่าบุคคลใดที่จะถูกดำเนินคดี
แต่ภัยคุกคามจากการสืบสวนของศาลอาญาระหว่างประเทศ อาจกระตุ้นให้รัฐบาลกัมพูชาเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือติดตามดำเนินการต่ออาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา ก่อนที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะเข้าแทรกแซง.