xs
xsm
sm
md
lg

จับทางทำมาหากิน เกษตรกรเวียดนามใช้กระบั้งภูมิปัญญาดักปลาไหลส่งขาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<bR><FONT color=#000033>รวยจากธรรมชาติ -- เกษตรกรนครเกิ่นเทอครอบครัวนี้มีรายได้วันละ 1,500-2,000 บาทจากการดักปลาไหลแม่น้ำส่งขาย ทำกันมา 15 ปีแล้วโดยใช้ภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จากกระบอกไม้ไผ่พัฒนามาใช้กระบอกพลาสติก ลงทุนไม่มาก แต่ออกแรงมากหน่อย เป็นอาชีพที่ยั่งยืน อุปสรรคเพียงประการเดียวก็คือ การทำลายสภาพแวดล้อมของคนด้วยกัน. -- ภาพ: ซเวินเหวียด ประชาชนเวียดนาม ออนไลน์. </b>

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ในขณะที่เกษตรกรหลายร้อยครอบครัวในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลทำบ่อเลี้ยงปลา ชาวนาจำนวนหนึ่งในนครเกิ่นเทอ (Can Tho) กลับเลือกวิถีทำกินที่ทำมาแต่บรรพบุรุษ และมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเลี้ยงครอบครัว โดยแทบจะไม่ต้องลงเม็ดเงิน หรือมีการลงทุนน้อยมาก

ชาวเวียดนามก็เช่นเดียวกันกับประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านที่อาศัยตามลำน้ำ ต่างก็รู้จักวิธีนำกระบอกไม้ไผ่มาทำเป็น “กระบั้ง” เพื่อดักปลาไหล โดยวางเหยื่อล่อไว้ข้างใน ปลายกระบั้งด้านหนึ่งปิดตัน อีกด้านหนึ่งมีส่วนประกอบชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า “งา” ยึดติดกับกระบอก กันมิให้ปลาตัวยาวๆ เลื้อยกลับคืนออกไปได้ อันเป็นหลักการเดียวกันกับที่ใช้ในการทำลอบ และไซสำหรับดักปลาทั่วไปนั่นเอง

จากกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดตามความยาวของปล้องให้มีขนาดพอเหมาะ นำไปทะลุข้อให้เป็นกระบอกเดียวกัน เหลือข้อสุดท้ายเอาไว้ เปิดปลายข้างหนึ่งสำหรับใส่ “งา” ที่สานขึ้นด้วยไม้ไผ่ให้ได้ขนาดเท่าๆ กับปากกระบั้งด้านใน เจาะรูยึดลวด หรือใช้เชื้อเอ็นผูกมัดให้แน่นหนา แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม้ไผ่หายาก และมีราคาแพง ท่อพลาสติกสีเทา หรือสีดำ ได้กลายมาเป็นวัสดุทดแทน ข้อดีของมันก็คือ ทนทานกว่ากระบอกไม้ไผ่ ซึ่งใช้ไปสักพักก็จะเริ่มเปื่อยยุ่ยไม่อยู่ตัว ไม้ไผ่บางชนิดมีกลิ่นที่ปลาไม่ชอบ นอกจากนั้น ยังตกแตกง่ายอีกด้วย แต่ท่อพลาสติกมี คุณสมบัติตรงกันข้ามทุกประการ ตัดยาวประมาณ 120 เซนติเมตรกำลังดี

ครอบครัวของ นายเจิ่นหลีเซิน (Tran Ly Son) เกษตรกร อ.โอโมน (Omon) ทำนามาหลายชั่วคน และหาปลาในลำน้ำเหิ่ว (Hau) ส่งขายเป็นรายได้ที่คงเส้นคงวา และเป็นอาหารเลี้ยงดูสมาชิกครอบครับจากรุ่นมาสู่รุ่น

แม่น้ำเหิ่ว เป็นสาขาหนึ่งของระบบแม่น้ำโขงในเขตที่ราบปากแม่น้ำที่ไหลผ่านนครเกิ่นเทอ นอกจากจะเป็นเส้นเลือดใหญ่สำหรับผืนนานับหมื่นๆ ไร่ในเขตนครใหญ่ทางภาคใต้แล้ว ก็ยังเป็นแหล่งอาหารของประชากรหลายล้านคนในย่านนี้อีกด้วย

การดักปลาไหลโดยใช้กระบั้งไม้ไผ่ เป็นภูมิปัญญาหนึ่งที่ครอบครัวนี้สืบทอดกันมา และมาถึงยุคของนายเซิน จากกระบั้งไม้ไผ่ ได้พัฒนามาใช้กระบั้งพลาสติก ทุกวัน นายเซิน กับลูกชายจะนำกระบั้งที่บรรจุเหยื่อเรียบร้อยแล้ว ไปวางเป็นจุดๆ ตามสองฝั่งแม่น้ำที่พวกเขาทราบดีว่าปลาไหลชอบแวะเวียนไปหาอาหาร ดักตอนเช้า ตอนเย็นไปเก็บ หรือหากนำออกวางตอนเย็น เช้าวันรุ่งขึ้นก็จะไปเก็บอีกครั้ง ทำได้ทุกวันตามแต่จะมีแรง

เหยื่อที่ใช้ก็เป็นสิ่งที่ปลาไหลชอบ และหาได้ทั่วไปในลำน้ำ ซึ่งก็คือ ปลาตัวเล็ก นำไปสับหยาบเป็นชิ้นๆ รวมทั้งหอยโข่ง หรือกระทั่งหอยเชอรี่ ทุบแกะเอาแต่เนื้อหอยแล้วสับหยาบ คลุกกับรำข้าว ปั้นให้แน่นเพื่อให้เหนียวอยู่ตัว หรือจะทุบทั้งเปลือกให้ละเอียดๆ ปนกับเนื้อก็ได้ หากจะให้ง่ายขึ้นก็ลงทุนนิดหน่อย ไปซื้อเศษปลาราคาถูกๆ จากแม่ค้าตลาดในอำเภอ มาทำตามกรรมวิธีดังกล่าว

นายเซิน บอกกับซเวินเหวียดออนไลน์ว่า ปลาไหลแม่น้ำเป็นแหล่งรายได้สำคัญของครอบครัวตลอด 15 ปีมานี้ เขากับลูกชายสามารถจับได้วันละ 7-15 กิโลกรัม ส่งขายในตลาดได้ราคาตั้งแต่ 40,000-100,000 ด่ง (60-150 บาท) ต่อ กก. ขึ้นอยู่กับขนาดของปลา ซึ่งตัวโตก็จะได้ราคาดีกว่าตัวเล็ก นั่นหมายความว่า ในวันที่ทุกอย่างเป็นใจเขากับลูกชายก็อาจจะมีรายได้ 1,500-2,000 บาท

ปลาไหล แพร่พันธุ์ได้เร็ว และมีอยู่ในทุกฤดู แต่หน้าฝนขณะนี้ชุกชุมที่สุด แต่ละวันเขาจะนำกระบั้ง 20-30 อัน บรรจุเหยื่อออกวางดักปลาไหล หากต้องการมากกว่านั้นก็ต้องออกแรงเพิ่มขึ้น ดักทั้งริมแม่น้ และริมคลองในนาข้าวด้วย

อย่างไรก็ตาม นายเซิน กล่าวว่า เมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว การจับปลาไหลให้ได้วันละ 40-50 กก.ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัจจุบันปลาเริ่มหายาก เนื่องจากท้องถิ่นของเขามีการใช้ยาฆ่าแมลงในนาข้าวกันแพร่หลาย สัตว์น้ำชนิดต่างๆ อพยพหนี ไม่เพียงแต่ปาไหลเท่านั้น ปลาชนิดอื่นๆ ก็มีจำนวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด มันทำให้เขากับลูกต้องเดินทางไปหาแหล่งดักปลาไหลไกลออกไปเรื่อยๆ

เขาบอกอีกว่า การวางกระบั้งต้องมีศิลปะ และมีชั้นเชิง ต้องใช้ความรู้ เพราะจะต้องรู้วิธีการทำให้ไม่ผิดสังเกตสำหรับปลา และไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็นอีกด้วย ทั้งนี้ ก็เพื่อให้แน่ใจได้ว่า กลับไปเก็บอีกทีในอีก 10-12 ชั่วโมงข้างหน้า กระบั้งจะยังอยู่ที่เดิม และมีปาไหลอยู่เต็ม

ปัจจุบัน เกษตกรที่มีอันจะกินหลายสิบครอบครัวในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงได้หันมาทำฟาร์มเลี้ยงปลาไหลอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพื่อส่งขายจีน ฮ่องกง ไปจนถึงเกาหลี และญี่ปุ่น อีกจำนวนหนึ่งส่งภัตตาคารร้านอาหารระดับหรูในเมืองใหญ่ แต่นายเซิน บอกว่า ตราบใดที่ชาวเวียดนามยังนิยมบริโภคปลาไหลย่าง หรือปาไหลต้มย้ำ และภัตตาคารหรูนับสิบๆ แห่งทั้งในนครโฮจิมินห์ และเกิ่นเทอ ยังนำขึ้นเป็นเมนูยอดฮิตอยู่ อาชีพของเขาก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะปลาไหลแม่น้ำมีรสชาติดีกว่าปลาไหลจากบ่อเลี้ยง.
.
มรดกทางปัญญา ซเวินเหวียดออนไลน์/ซิงออนไลน์
.
<bR><FONT color=#000033>เตรียมกระบั้งและเหยื่อ. </b>
2

3

4
<bR><FONT color=#000033>ปลายข้างหนึ่งของกระบั้ง เปิดเอาไว้สำหรับใส่ งา ที่สานจากไม้ไผ่. </b>
5
<bR><FONT color=#000033>เอาดินหรือโคลนจากบริเวณที่นำกระบั้งไปวางดักปลาไหลทารอบๆ งา เพื่อมิให้ผิดสังเกต. </b>
6
<bR><FONT color=#000033>ชิ้นส่วนสำคัญของกระบั้ง ป้องกันมิให้ปลาตัวยาวๆ ถอยกลับออกจากกระบั้งได้ หลังมุดเข้าไปหาเหยื่อ. </b>
7
<bR><FONT color=#000033>ปลายข้างหนึ่งของกระบั้งอุดเอาไว้ด้วยไม้ที่ปลาคุ้นเคยมากกว่าคอนกรีต และเจาะรูเอาไว้รอบๆ เป็นช่องอากาศสำหรับหายใจ. </b>
8
<bR><FONT color=#000033>พร้อมแล้ว .. ลุย. </b>
9
<bR><FONT color=#000033>ครอบครัวนี้บอกว่า การใช้ยากำจัดศัตรูข้าวกันแพร่หลาย ส่งผลให้สัตว์น้ำในแม่น้ำลำธารหนีหาย ปลาไหลก็เริ่มหายาก. </b>
10
<bR><FONT color=#000033>ภูมิปัญญาแต่โบราญสอนให้รู้จักการพรางกระบั้ง มิให้ปลาผิดสังเกตและมิให้คนอื่นเห็น เพื่อให้แน่ใจได้ว่ากลับเก็บอีกครั้ง 12 ชั่วโมงข้างหน้ากระบั้งยังอยู่ที่เดิมและมีปลาไหลอยู่เต็ม. </b>
11
<bR><FONT color=#000033>ผลงานในรอบวัน ตัวเล็กก็ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติไป ตัวใหญ่ๆ ส่งขายตลาดได้ราคาดี. </b>
12
กำลังโหลดความคิดเห็น