xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ใช่ตรายาง สภาฯ ลาวเฮี้ยนคว่ำกฎหมายภาษีหักหน้ารัฐบาล ระบุชัดชัง จนท.โกง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<bR><FONT color=#000033>นางปานี ยาทอตู่ ประธานสภาแห่งชาติซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองสตรีเพียงคนเดียวของพรรคฯ ในพิธีปิดการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 7 วันศุกร์ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา พร้อมด้วยรองประธานสภาคนที่ 1 ดร.ไซสมพอน พมวิหาน (ซ้าย) กับรองฯ อีกคนคือนายสมพัน แพงคำมี สภาฯ ได้ปฏิเสธที่จะลงมติรับรองร่างกฎหมายแก้ไขกฎหมายภาษีของรัฐบาลซึ่งเป็นกฎหมายการเงินที่สำคัญ สส.ได้อภิปรายชี้ชัด การปฏิบัติเก็บภาษียังไม่โปร่งใส เงินภาษีรั่วไหลไปเข้ากระเป๋าเจ้าหน้าที่รัฐ. -- ภาพ: ปะเทดลาวออนไลน์. </b>

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สมาชิกสภาแห่งชาติลาว ได้โชว์พลังอำนาจครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการลงมติไม่รับรองร่างรัฐบัญญัติแก้ไขรัฐบัญญัติการจัดเก็บภาษีอากรของรัฐบาล ก่อนจะปิดการประชุมสามัญสมัยที่ 7 ในวันศุกร์ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้กลายเป็นไฮไลต์สำคัญทางการเมืองของประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้ และประชาคมออนไลน์กล่าวว่า องค์กรนิติบัญญัติแห่งชาติไม่ได้เป็นเพียง “สภาตรายาง” ตามที่สื่อตะวันตกมักจะเปรียบเปรย

หลังจากบรรดาสมาชิกสภาได้อภิปราย สภาแห่งชาติได้มีมติที่จะ “ไม่ลงมติ” ร่างกฎหมายที่กระทรวงการเงินเสนอเข้าสู่การพิจารณา เนื่องจากเห็นว่า ยังขาดรายละเอียด และกฎหมายฉบับปัจจุบันเพิ่งบังคับใช้มาเพียง 2 ปี สมาชิกระดับนำคนหนึ่งของสภาฯ ได้บอกต่อหนังสือพิมพ์ “ปะเทดลาว” ว่า ปัจจุบันเจ้าหน้าที่จำนวนมากได้นำเงินที่เก็บภาษีไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว มีการรีดไถแม่ค้าแม่ขาย ตั้งอัตราจัดเก็บตามใจชอบ นอกจากนั้น ร่างแก้ไขฯ มิได้มีบทบัญญัติเพื่อป้องกันความไม่โปร่งใสเหล่านี้

“ที่ผ่านมา กระทรวงเกี่ยวข้องไม่สามารถยืนยัน และรับประกันว่า การทำงานของพนักงานทั้งหมดจะโปร่งใส จะถูกต้อง 100% ดังนั้น ในนามส่วนตัวที่เป็น ส.ส. ก็ได้ยินหลายเสียง และยืนยันว่ามันไม่โปร่งใสหมดทุกคน มีพนักงานจำนวนหนึ่งที่ทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว..” หนังสือพิมพ์ออนไลน์ของทางการรายงานอ้างการสัมภาษณ์ ดร.วันเพ็ง แก้วนะคอน ส.ส. 2 สมัย เขตเลือกตั้งที่ 1 นครเวียงจันทน์

“งานด้านภาษีจะต้องรัดกุม เพราะเป็นงานสำคัญ เป็นแหล่งรายรับมาสู่พรรค-รัฐบาล ก็คือประชาชน ฉะนั้นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานภาษีจะต้องมีเนื้อหาที่รัดกุม รอบคอบ เพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ” นางวันเพ็ง ซึ่งเป็นกรรมการพรรคสาขานครเวียงจันทน์ อดีตหัวหน้าสำนักงานแถลงข่าวและวัฒนธรรมของเมืองหลวงกล่าว

สื่อของทางการไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาของร่างรัฐบัญญัติฉบับแก้ไขกฎหมายภาษีที่เป็นปัญหา แต่สมาชิกสภาแห่งชาติได้มีมติให้กระทรวงการเงินได้นำกลับไปศึกษา ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง

ระหว่างการประชุม 15 วัน “บนจิตใจเสริมขยายประชาธิปไตย และสติปัญญารวมหมู่และเชิดชูความรับผิดชอบทางการเมืองของบรรดาสมาชิก...” สภาแห่งชาติได้รับรองบทรายงานเศรษฐกิจและสังคมช่วงต้นปี รายงานการปฏิบัติใช้จ่ายเงินงบประมาณและแผนการปรับปรุงงบประมาณของรัฐบาล ผ่านร่างกฎหมาย 4 ฉบับ รวมทั้งกฎหมายต่อต้าน และสกัดกั้นการฟอกเงินและการสนองทุนให้แก่การก่อการร้าย ซึ่งนับเป็นครั้งแรก

สภาแห่งชาติยังลงมติผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยการตรวจสอบอิสระ (โดยเอกชน) กฎหมายปรับปรุงกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม และกฎหมายปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับมาตรฐาน
.
<bR><FONT color=#000033>พล.ท.จูมมะลี ไซยะสอน เลขาธิการใหญ่พรรค/ประธานประเทศ กับนายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรี (โต๊ะกลาง) เป็นเกียรติเข้าร่วมพิธีปิดการประชุมสภาแห่งชาติวันศุกร์ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา โต๊ะหน้าด้านขวามือคือรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 4 คน - ดร.ทองลุน สีสุลิด นายสมสะหวาดเล่งสะหวัด กับ รองฯ ใหม่ทั้งสอง - นายบุนปอน บุดตะนะวง กับนายพันคำ วิพาวัน และนั่งคู่กันที่โต๊ะทางด้านซ้ายมือคือนายบุนยัง วอละจิต กรรมการกรมการเมือง/รองประธานประเทศ กับพล.อ.สีสะหวาด แก้วบุนพัน อดีตกรรมการกรมการเมือง. -- ภาพ: สำนักข่าวสารปะเทดลาว. </b>
.
สภาฯ ยังลงมติรับรองการเสนอของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งมีการตั้งรองนายกรัฐมนตรีอีก 2 คน แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ โยกย้ายรัฐมนตรีว่าการ 2 นาย ไปรับหน้าที่ใหม่ และพิจารณารับรองรายงานขององค์การตรวจสอบแห่งรัฐ อภิปรายรายงานเกี่ยวกับการจัดสรรป่าไม้โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ป่าคุ้มครอง ป่าสงวน และเชิงการผลิต ฯลฯ

ตามระบบของคอมมิวนิสต์ลาว สมาชิกสภาแห่งชาติทั้งหมดต้องเป็นสมาชิกพรรคประชาชนปฏิวัติลาว และการลงสมัครรับเลือกตั้งต้องผ่านการรับรองจากพรรค หรือหน่วยงานของพรรคตามที่ระบุในกฎระเบียบของพรรคเช่นเดียวกันกับบุคลากรในซีกของรัฐบาล ซึ่งทำให้องค์กรนิติบัญญัติตามแบบของคอมมิวนิสต์ถูกมองเป็นเพียงสภาตรายางมีหน้าที่คอยรับรองร่างกฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีมานี้ สมาชิกสภาแห่งชาติลาวได้เคยอภิปรายถกเถียงร่างกฎหมายหรือบทรายงานของรัฐบาลอย่างเผ็ดร้อนมาหลายครั้ง รวมทั้งในสมัยประชุมปลายปี 2553 ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การใช้จ่ายเงินงบประมาณผิดประเภท และเงินงบประมาณของรัฐรั่วไหล เป็นแรงกดดันหนึ่งที่ทำให้ นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรีขณะนั้นประกาศลาออกกลางคัน.
กำลังโหลดความคิดเห็น