เอเอฟพี/เอพี - เวียดนามมีมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขใหม่ วานนี้ (28 พ.ย.) ที่ตอกย้ำบทบาทความสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ต่อเศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ สร้างความผิดหวังให้แก่บรรดาผู้สนับสนุนการปฏิรูป ที่หวังจะกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยใช้ประโยชน์จากกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยประชาชน ซึ่งไม่เคยมีปรากฎมาก่อน
พรรคคอมมิวนิสต์ ประกาศแผนที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยอ้างถึงความจำเป็นเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว สร้างความหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นหลังเปิดให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น ซึ่งจุดกระแสการหารือโต้แย้งอย่างดุเดือดต่อหัวข้อที่โดยปกติถือเป็นเรื่องต้องห้ามในประเทศ
ในเดือน ม.ค. กลุ่มนักวิชาการชั้นนำได้ยื่นคำร้องเรียกร้องการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยแบบหลายพรรค การเคารพสิทธิมนุษยชน กรรมสิทธิ์การถือครองที่ดิน และกองทัพที่ทำหน้าที่รับใช้ประชาชน ไม่ใช่พรรค
และข้อเรียกร้องหลักของทั้งนักวิชาการ และนักวิจารณ์ออนไลน์จำนวนมาก ระบุต้องการให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตราที่ 4 ที่คุ้มครองอำนาจของพรรค และให้มีการแยกอำนาจกันอย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แต่ตามที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญที่อ่านในรัฐสภา ไม่ได้ถอนมาตราดังกล่าวออกแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ร่างรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ที่ได้ยกเลิกข้อความว่า “ภาครัฐต้องเล่นบทบาทนำในเศรษฐกิจของชาติ” นำมาซึ่งความหวังว่ารัฐบาลจะรื้อรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพ และเต็มไปด้วยปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ที่ใช้งบประมาณรัฐไปเป็นจำนวนมาก แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมติในวันพฤหัสบดี โดยสมาชิกรัฐสภาถึง 98% กลับนำข้อความดังกล่าวระบุไว้ในรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
หอการค้าสหรัฐฯ ในเวียดนาม ระบุในคำแถลงว่า ความล้มเหลวในการลดบทบาทของรัฐวิสาหกิจในรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ใช่สัญญาณสนับสนุนว่า ประเทศต้องการที่จะแข่งขันในเศรษฐกิจโลก
รัฐธรรมนูญใหม่ยังระบุว่า พรรคคอมมิวนิสต์เป็นกำลังหลักของรัฐ และสังคม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการทำลายความหวังการปฏิรูปการเมือง
แต่รองประธานรัฐสภา ได้กล่าวผ่านทางโทรทัศน์ว่า ความคิดเห็นส่วนใหญ่ในระหว่างกระบวนการให้คำปรึกษานั้นต่างเห็นชอบให้พรรคดำเนินบทบาทนำต่อไป
ในระหว่างกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลได้สอบถามข้อแนะนำของประชาชนผ่านทางอินเทอร์เน็ต ที่นับว่าเป็นการเปิดให้วิพากษ์วิจารณ์ และการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองซึ่งหาได้ยากในประเทศที่รัฐสภาไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือสิทธิในการประท้วง
แต่นักเคลื่อนไหวรายหนึ่งระบุว่า การร้องขอคำปรึกษานี้เป็นกับดักที่ลวงฝ่ายตรงข้ามพรรคให้โผล่ออกมาจากเงามืด
พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามควบคุมการแสดงความคิดเห็นของประชาชนอย่างเช้มงวด และมักจำคุกผู้เห็นต่างที่ตั้งคำถามระบบการเมือง หรือเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง
ขณะที่องค์กรคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรท์วอช ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐสภาเวียดนามว่าทำหน้าที่เป็นตรายาง เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลเวียดนาม และพรรคคอมมิวนิสต์เลือกที่จะรักษาไว้ซึ่งอำนาจทางการเมือง มากกว่าเคารพสิทธิมนุษยชน และไม่คำนึงถึงความต้องการของประชาชนชาวเวียดนาม.