.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูงรวม 47 คน ทั้งในระดับรัฐ และรัฐบาล กำลังจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า “การลงมติไว้วางใจ” ในรัฐสภา วันจันทร์ที่ 10 มิ.ย.นี้ ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำหรับประเทศที่อยู่ใต้การบริหารงานโดยพรรคการเมืองพรรคเดียว คือ พรรคคอมมิวนิสต์ และผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกรัฐสภาจำนวนมากได้เรียกร้องให้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการลงมติดังกล่าวด้วย
บรรดาผู้เข้ารับตำแหน่งระดับสูง ซึ่งรวมทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี ต่างไปจากพรรคคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกันกับสมาชิกรัฐสภาเกือบทั้งหมดในจำนวน 500 คน ล้วนเป็นสมาชิกพรรค และผ่านการเห็นชอบโดยพรรคฯ ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร
ในวันนี้ ชาวคอมมิวนิสต์เวียดนามได้ก้าวขึ้นสู่อีกระดับหนึ่งในขบวนการประชาธิปไตย คือ การตรวจสอบกันเองอย่างเข้มงวด
ประธานรัฐสภาเวียดนามคนปัจจุบัน คือ นายเหวียนซีงหุ่ง (Nguyen Sinh Hung) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า มีการหารือเรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และในที่สุดก็ได้บรรลุในหลักการและเหตุผลที่ว่า เมื่อบุคคลที่เข้ารับตำแหน่งในระดับสูงได้รับเลือกจากการโหวตลงมติโดยสมาชิกรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎรจากนคร และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ก็ชอบที่ผู้แทนฯ เหล่านี้จะต้องตามไปตรวจสอบผลงาน
นายหุ่ง เป็นสมาชิก 1 ใน 16 คน ของคณะกรรมการกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นองค์การอำนาจสูงสุด และยังเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจในรัฐบาลสมัยที่แล้ว นอกจากนั้น ทั้งประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีที่กำลังจะถูก “ลงมติไว้วางใจ” ต่างก็เป็นกรมการเมืองอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์
สื่อของทางการกล่าวว่า ถึงแม้ “การลงมติไว้วางใจ” จะไม่ได้มีผลบังคับให้ผู้ที่ได้คะแนนไว้วางใจน้อย หรือไม่ได้รับความไว้วางใจ ต้องพ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติก็ตาม แต่คะแนนโหวตที่ออกมาจะเป็น “กระจกเงา” ให้ส่องดูตัวเอง และใช้จริยธรรมในการตัดสินอนาคตของตัวเอง
นายเจิ่นหง็อกวีง (Tran Ngoc Vinh) ผู้แทนราษฎรจากนครหายฝ่อง กล่าวว่า นี่เป็นโอกาสสำคัญของบรรดาผู้แทนฯ ในการติดตามสอดส่องดูผลงานของบุคคลที่พวกตนเคยโหวตลงมติให้เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จึงสมควรที่จะต้องตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานนี้
นางเจิ่นถิก๊วกแค็ง (Tran Thi Quoc Khanh) ผู้แทนราษฎรอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ผลการโหวตในวันจันทร์นี้ไม่ควรที่จะมีอะไรเป็นความลับ แต่เป็นเรื่องที่ต้องเปิดเผยให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับทราบ เนื่องจากเป็นผลงานของสมาชิกรัฐสภาทุกคน และยังสะท้อนผลงานของบรรดาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูงของประเทศอีกด้วย
“ทุกคนมาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายบริหารก็ไปจากการเลือกตั้งของบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่ไปจากการเลือกตั้งของประชาชน การตรวจสอบคนของประชาชนโดยประชาชนจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว” นางแค็งกล่าวกับสำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรส
การลงมติไว้วางใจได้เริ่มใช้เป็นครั้งแรกในสภาท้องถิ่นนครโฮจิมินห์ ก่อนที่กรุงฮานอยจะรับเอาไปปฏิบัติตาม ซึ่งสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งใน 2 นครใหญ่ที่สุดของประเทศ
ไม่เพียงแต่เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นในระดับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น ในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 11 ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เดือน ม.ค.2554 พรรคฯ ได้รื้อฟื้นวัฒนธรรมการวิจารณ์ตนเองของผู้นำระดับสูงกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ห่างหายไปนานหลายสิบปี
การวิจารณ์ตนเองเป็นวิถีปฏิบัติอย่างหนึ่งของชาวคอมมิวนิสต์ โดยมีจุดประสงค์ให้ทุกคนได้มีโอกาสเปิดเผยจุดแข็ง และจุดอ่อนของตนด้วยการวิจารณ์ตนเอง และเปิดกว้างเพื่อรับฟังกาสรวิจารณ์จากบรรดา “สหาย” ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับรู้มุมมองจากผู้ร่วมงาน และนำไปปรับปรุงแก้ไข ภายใต้หลักการ “วิจารณ์-สามัคคี-วิจารณ์”.
.