.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ลาวได้งดออกใบอนุญาตลงทุนในโครงการสวนยางพาราเป็นการชั่วคราว เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ประชาชนในท้องถิ่นได้รับ เช่นเดียวกับการปลูกไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งมีรายงานว่าเป็นที่ทำลายคุณภาพดิน นายกรัฐมนตรีได้สั่งหยุดโครงการลงทุนปลูกพืชทั้ง 2 ชนิดนี้ 100% เพื่อสำรวจข้อมูลด้านต่างๆ
นายวิไลวัน พมเข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้เปิดเผยเรื่องนี้ในช่วงก่อนเทศกาลขึ้นปีใหม่ประเพณีที่ผ่านมา สำนักข่าวสารประเทดลาวรายงาน
หลายปีมานี้ ลาวเป็นประเทศหนึ่งที่นักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง รวมทั้งที่อยู่ไกลออกไป ต่างเข้าไปแสวงหาโอกาสสัมปทานที่ดินผืนใหญ่ หรือเช่าที่ดินแปลงใหญ่เพื่อทำประโยชน์เป็นเวลายาวนานตั้งแต่ 30-50 ปีขึ้นไป เนื่องจากค่าเช่าไม่แพง และดินอุดมสมบูรณ์
การสำรวจที่ดำเนินมาในช่วง 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2555-2556 (ต.ค.-มี.ค.) พบข้อมูลเบื้องต้นว่า ปัจจุบันทั่วประเทศมีเนื้อที่สวนยางรวมกันประมาณ 300,000 เฮกตาร์ (1,875,000 ไร่) แขวง (จังหวัด) ภาคเหนือปลูกมากที่สุด โดยนักลงทุนจีนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนแขวงภาคกลางกับภาคใต้เป็นของนักลงทุนไทย กับนักลงทุนเวียดนาม
ปัจจุบัน การลงทุนด้านเกษตรอุตสาหกรรมของนักลงทุนต่างชาติในลาว เช่นเดียวกับนักลงทุนลาวเอง มีอยู่ 3 รูปแบบ คือ เช่าที่ดินจากรัฐ การเกษตรแบบราษฎรในท้องถิ่นมีส่วนร่วม และปลูกภายใต้สัญญาสัมปทาน
รมว.กสิกรรมลาว กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงฯ กับภาคส่วนต่างๆ กำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีฉบับหนึ่งที่สั่งให้หยุดการออกใบอนุญาตลงทุนทำสวนยางพารา กับสวนยูคาลิปตัสเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
สำหรับการปลูกภายใต้สัญญาสัมปทานตามนโยบายเก่านั้น หยุดลง 100% เต็ม คือจะไม่มีการออกใบอนุญาตการลงทุนในรูปแบบนี้อีก ในขณะที่ยังทำการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับ 2 รูปแบบต่อไปเพื่อศึกษาว่า ราษฎรในพื้นที่ได้รับประโยชน์อย่างไร และคิดเป็นจำนวนเท่าไร ขปล.กล่าว
ตามรายงานของกระทรวงกสิกรรมฯ สวนป่ายูคาลิปตัสมีปัญหามากที่สุด เนื่องจากหลังปลูกแล้วเสร็จราษฎรจะไม่มีงานทำ จนกว่าจะถึงเวลาตัดไม้ใน 5-6 ปีข้างหน้า ซึ่งใช้แรงงานน้อยมาก ทำให้ขาดรายได้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังศึกษาข้อมูลว่า ยูคาลิปตัสทำลายดิน ทำให้เกิดความแห้งแล้งตามที่เคยมีการศึกษาในต่างประเทศหรือไม่ และอย่างไร
บริษัทปลูกไม้ยูคาลิปตัสใหญ่อันดับ 1 คือ กลุ่มกระดาษโอจิจากญี่ปุ่น ซึ่งมีสวนป่าเนื้อที่รวมกัน 50,000 เฮกตาร์ (312,500 ไร่) ในแขวงภาคกลางกับภาคใต้ และกลุ่มบริษัทผลิตกระดาษจากอินเดีย ซึ่งมีเนื้อที่เท่ากัน ส่วนอันดับ 3 เป็นบริษัทดวงตะวัน (กลุ่มซันเปเปอร์) จากจีน 9,000 เฮกตาร์ (56,000 ไร่เศษ)
การสำรวจยังพบว่า การปลูกยางพาราดีกว่ายูคาลิปตัส เนื่องจากประชาชนมีงานทำ และมีรายได้ตลอด แต่กระทรวงฯ กำลังศึกษาเพิ่มเติม และได้งดออกใบอนุญาตทั้งหมดในปัจจุบัน ขปล.กล่าว.
.