.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ลงนามคำสั่งฉบับหนึ่งสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มอบหมายให้นายหวูวันนีง (Vũ Văn Ninh) รองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงไปเป็น “ผู้รับผิดชอบกระทรวงการคลัง” แทนนายเวืองดี่งเหวะ (Vương Đình Huệ) รัฐมนตรีว่าการคนปัจจุบัน ที่จะทำหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจกลางของพรรคคอมมิวนิสต์เพียงตำแหน่งเดียว
คำสั่งมอบหมายให้รองนายกฯ กลับไปดูแลกระทรวงการคลังนั้น มีขึ้นเพียงไม่นานหลังจากนายเหวะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ หนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋รายงานในเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ภาษาเวียดนาม
นายนีงทำหน้าที่เป็น รมว.การคลังในปี 2549 และในเดือน ส.ค.2554 ซึ่งมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไป ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลการเงินการธนาคารของประเทศ และมีการแต่งตั้งนายเหวะขึ้นว่าการกระทรวงการคลังแทน
นายกรัฐมนตรีจะเสนอชื่อนายนีงให้รัฐสภารับรองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอย่างเป็นทางการในสมัยประชุมกลางปีนี้ ขณะที่นายเหวะจะกลับไปทำงานที่คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจฯ ในสังกัดคณะเลขาธิการพรรค อันเป็นองค์การสำคัญของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นไปตามมติคณะกรรมการกรมการเมืองครั้งวันที่ 28 ธ.ค.2555
เกิดปี พ.ศ.2500 เป็นชาวจังหวัดเหงะอาน (Nghe An) บ้านเกิดประธานโฮจิมินห์ เรียนสำเร็จปริญญาเอกด้านเศรษฐกิจ เข้ารับตำแหน่งกรรมการตรวจตราแห่งรัฐ ในปี 2549 ได้รับเลือกเป็นกรรมการกลางพรรคในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 11 นับเป็นคนรุ่นใหม่อีกคนหนึ่งของพรรค และยังได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งปี 2554 จากนั้นจึงได้รับแต่งตั้งให้ขึ้นว่าการกระทรวงสำคัญของทางเศรษฐกิจของประเทศ
หวูวันนีง เป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งรัฐ เป็นมือการเงินของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเหวียนเติ๋นยวุ๋งมาตั้งแต่สมัยแรก
ระหว่างสมัยประชุมรัฐสภานัดปลายปีที่แล้ว รัฐบาลได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับ “ความล้มเหลว” ด้านเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศดำดิ่งลงสู่ปัญหาเงินเฟ้อยาวนาน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยธนาคารที่อยู่ในระดับสูงติดต่อกันมาเป็นเวลานานหลายปี บริษัทธุรกิจขานาดใหญ่ขาดเงินทุนหมุนเวียน ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมที่เป็นกำลังผลักดันสำคัญนับหมื่นๆ แห่งต้องล้มละลาย หรือปิดตัวเองลง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อเวียดนามได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และประเทศนี้เริ่มได้ดุลการค้าเป็นครั้งแรก แต่เศรษฐกิจก็ยังขยายตัวในระดับต่ำ และภาคก่อสร้างกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประสบปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ทรุดลง ส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียน และนักลงทุนในตลาดหุ้นอย่างถ้วนหน้า.
.