xs
xsm
sm
md
lg

สาวโรงงานทอผ้าเขมรเฮ รัฐเห็นชอบเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<br><FONT color=#000033>ภาพแฟ้มรอยเตอร์ไม่ระบุวันที่ แสดงให้เห็นสภาพทั่วไปภายในโรงงานสิ่งทอในกัมพูชา ค่าแรงของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้าที่เป็น 1 ใน 4 เสาเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้กับประเทศ อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าอาหารและน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้าได้ร่วมหารือกันและเห็นชอบที่จะปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้กับแรงงาน. -- Photo/Reuters. </font></b>

ซินหัว - สมาคมผู้ผลิตสิ่งทอกัมพูชา (GMAC) มีมติเห็นชอบที่จะปรับเพิ่มค่าแรงของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ และรองเท้าของประเทศ หลังการประชุมวานนี้ (21) ที่มีรัฐมนตรีกระทรวงกิจการสังคม รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ประธาน GMAC และตัวแทนจากสหภาพแรงงานต่างๆ ในกัมพูชาเข้าร่วมหารือกัน

รายงานระบุว่า การประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการที่จะหารือปรับเพิ่มค่าแรงให้แก่แรงงาน และสหภาพแรงงานทุกแห่งควรประชุมกันเพื่อตั้งข้อเสนอที่เป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำสำหรับแรงงาน เพื่อนำไปเจรจาต่อรองกับบรรดานายจ้าง โดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) จะเป็นผู้ประสานงานในส่วนนี้

ตามข่าวแถลงระบุว่า ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะหารือกันอีกครั้งในวันที่ 26 ก.พ. เพื่อตัดสินใจการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ

การเจรจาการปรับเพิ่มค่าแรงมีขึ้นหลังสหภาพแรงงานเรียกร้องให้รัฐบาลกระตุ้นบรรดาผู้ผลิตปรับเพิ่มค่าแรงให้แก่แรงงานตั้งแต่ปี 2556

“ปัจจุบัน ค่าแรงขั้นต่ำสำหรับแรงงานอยู่ที่ 61 ดอลลาร์ นับว่าเป็นอัตราค่าแรงที่ต่ำเมื่อเทียบกับราคาอาหาร และน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกระทบสภาพความเป็นอยู่ของแรงงาน” นายเจีย มุนี ประธานสหภาพแรงงานเสรี ที่เป็นสหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชากล่าว

“เพื่อช่วยเหลือผ่อนคลายความยากลำบากของแรงงาน ผมประสงค์ที่จะร้องขอต่อประธาน GMAC ให้หารือ และปรับเพิ่มค่าแรงขึ้นต่ำให้แก่แรงงานเป็น 120 ดอลลาร์ต่อเดือน”นายเจียมุนีกล่าว

อุตสากรรมสิ่งทอนับเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แก่ประเทศที่ใหญ่ที่สุด มีโรงงานอยู่ในภาคส่วนนี้มากกว่า 3,000 แห่ง มีการจ้างงานประมาณ 335,400 ตำแหน่ง โดยร้อยละ 91 ของแรงงานเป็นเพศหญิง

รายงานของกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาระบุว่า เสื้อผ้า และสินค้าที่เกี่ยวกับสิ่งทอที่ส่งออกไปยังต่างประเทศทำรายได้ให้แก่ประเทศ 4,600 ล้านดอลลาร์เมื่อปีก่อน ขยายตัวขึ้นร้อยละ 8 เทียบปีต่อปี โดยมีสหรัฐฯ และประเทศในยุโรปเป็นตลาดผู้ซื้อหลัก รองลงมาคือ แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน.
กำลังโหลดความคิดเห็น