เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ ระบุว่า ชาวมุสลิมโรฮิงญาหลายพันคนที่ไร้ที่อยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกของพม่า อยู่ในสภาพที่เลวร้ายมาก นอกจากนั้น ทั้งชุมชนชาวมุสลิม และชาวพุทธต่างใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัว
วาเลรี เอมอส ที่เดินทางไปเยือนรัฐยะไข่ เมื่อวันพุธ (5 ธ.ค.) กล่าวในคำแถลงว่า มีความวิตกอย่างมากจากสถานการณ์ดังกล่าว ที่ประชาชนอาศัยอยู่ในค่ายที่แออัดและไม่ถูกสุขอนามัย
สหประชาชาติกล่าวว่า ประชาชนมากกว่า 115,000 คน ยังคงไร้ที่อยู่จากเหตุรุนแรงระหว่างชุมชนที่ปะทุรุนแรงสองครั้งในรัฐยะไข่ เมื่อเดือน มิ.ย. และ ต.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และหลายหมู่บ้านได้รับผลกระทบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญาต้องหลบหนีออกจากที่อยู่อาศัยของตัวเอง
“ฉันมีความกังวลใจอย่างมากจากสิ่งที่ฉันเห็น” เอมอส รองเลขาธิการสหประชาชาติด้านกิจการมนุษยชน และผู้ประสานงานบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินกล่าว
เอมอส ที่เดินทางไปยังรัฐยะไข่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำหนดเยือนพม่า กล่าวว่า ในค่ายพักมะเยบอน (Myebon) มีประชาชนหลายพันคนอัดแน่นอยู่ในที่พักที่ไม่ได้มาตรฐาน และสุขอนามัยอยู่ในระดับย่ำแย่
“พวกเขาไม่มีงานทำ เด็กๆ ไม่ได้เข้าเรียน และพวกเขาไม่สามารถออกนอกค่ายได้เพราะถูกจำกัดการเคลื่อนไหว สถานการณ์เลวร้ายมาก” เอมอสกล่าว
ความไม่ลงรอยกันระหว่างชาวพุทธ และมุสลิมที่หยั่งรากลึกยาวนานเกิดปะทุขึ้นในเดือน มิ.ย. หลังเหตุการณ์ฆ่าข่มขืนหญิงชาวยะไข่ ที่เป็นชนวนให้เกิดการโจมตีตอบโต้แก้แค้นไปมาอีกหลายระลอก
“ความตึงเครียดระหว่างชุมชนยังคงสูงมาก ประชาชนจากทั้งสองชุมชนกล่าวแบบเดียวกันว่า พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว และต้องการที่จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างความปรองดอง” เอมอส กล่าว
ผู้แทนจากสหประชาชาติเรียกร้องให้พม่าเพิ่มการสนับสนุนต่อหน่วยงานให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากในพื้นที่ไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จำเป็นต้องมีผู้นำทางการเมืองในพม่าที่จะสนับสนุนงานด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ และหุ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือดำเนินการไปโดยสำเร็จ.