.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ภาพที่ถูกระบุว่า เป็นท่อนลำตัวของ “เสิ่นหยาง J-21” เครื่องบินเทคโนโลยีสเตลธ์ลำใหม่ของจีนที่ได้เห็นรูปใหญ่ชัดๆ ในสัปดาห์นี้ กำลังเป็นที่โจษจันตามเว็บไซต์ข่าวกลาโหมหลายแห่ง คนในวงการบางคนได้สเกตช์ต่อเติมภาพถ่ายดังกล่าวให้เป็นเครื่องบินเต็มลำสมบูรณ์ ซึ่งปรากฏว่า รูปร่างหน้าตาของมันดูละม้ายคล้าย F-35 ของสหรัฐฯ เอาการ ราวกับว่า เอกสารลับของเพนตากอนรั่วไปถึงมืออย่างไรอย่างนั้น
ชาวเน็ตจำนวนหนึ่งตั้งข้อสงสัยเช่นกันว่า จีนตั้งใจจะสร้าง J-21 จริงๆ หรือแค่รั่วภาพออกมาเพื่อเขย่าขวัญประเทศเพื่อนบ้านเล่นๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์บางแห่งได้รายงานรายละเอียดเพิ่มเติม โดยอ้างข่าวของโทรทัศน์กลางของรัฐบาลจีน หรือ CCTV เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ระบุว่า จีนกำลังจะบินทดสอบ J-21 ครั้งแรกในปลายเดือน ก.ย.ศกนี้ หรืออีกประมาณ 60 วันข้างหน้า ซึ่งทำให้เป็นที่ฮือฮาอย่างยิ่ง
น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ เพียงแต่ 2 ปีนับตั้งแต่นำเครื่องบิน “เฉิงตู” J-20 ขึ้นบิน และทดสอบมาจนถึงปัจจุบันนี้ จีนกำลังจะมีัเครื่องบินเทคโนโลยี “ล่องหน” เป็นลำที่ 2
ภาพ “รั่ว” ออกมาครั้งแรกในเดือน มิ.ย.โดยรถเทรลเลอร์บรรทุกขนาดใหญ่ทำให้วัตถุประหลาดๆ ชิ้นหนึ่งเอียงข้างจนต้องจอดกลางคันบนท้องถนน เพื่อปรับแต่งใหม่ให้ตรงเช่นเดิม วัตถุชิ้นนั้นห่อหุ้มด้วยผ้าใบลายพราง เมื่อพิจารณาถ้วนถี่จึงเห็นได้ว่า เป็นท่อนลำตัวของเครื่องบิน และเป็นที่มาของการคาดเดาต่างๆ นานา
วัตถุชิ้นนั้น ขนย้ายจากโรงประกอบไปยังศูนย์วิจัยทดลองอากาศยานเสิ่นหยางทางตะวันตกของแผ่นดินใหญ่ แรกเริ่มเดิมที นักสังเกตการณ์เข้าใจว่า เป็นลำตัวของเครื่อง L-15 เครื่องบินไอพ่นฝึกบิน จนกระทั่งสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลกลางยืนยันว่า มันคือ J-21
เว็บไซต์ข่าวภาษาจีนบางแห่งนำภาพขนาดใหญ่ออกเผยแพร่ โดยอ้างอิงบริษัทรับจ้างขนย้ายซึ่งให้ข้อมูลว่า ปีกของ J-21 มีความยาว 12 เมตร (เทียบกับ F-35 ของสหรัฐฯ ซึ่งปีกกว้าง 10.65 เมตร และ 9 เมตรสำหรับ บขฝ. L-15)
ข้อมูลของโทรทัศน์จีนระบุต่อไปว่า ต่างไปจาก J-20 ที่ผลิตสำหรับกองทัพอากาศ J-21 กำลังจะมีอีกเวอร์ชันหนึ่งเพื่อส่งออกในอนาคต ภายใต้รหัส F-60 ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำให้เกิดมีหลายคำถามที่น่าสนใจติดตามมา
ผู้อ่านชาวอเมริกันที่ใช้ชื่อ IconOfEvi สงสัยว่า เอกสารลับของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อาจจะรั่วไปแล้ว ไม่ต่างกับครั้งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯเคยกล่าวหาว่า จีนอาจจะได้เทคโนโลยีสเตลธ์ที่ใช้ใน J-20 ไปจากเครื่อง F-117 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ลำที่ถูกยิงตกในโคโซโวปี 2542
.
.
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างข้อมูลของอดีตผู้บัญชาการทหารยูโกสลาเวียในพื้นที่ ซึ่งอ้างว่า ช่วงปีโน้น เพียงไม่นานหลังจาก F-117 ถูกยิงตก ทั้งนักข่าว และเจ้าหน้าที่จีนได้เข้าไปยังแหล่งที่เกิดเหตุบ่อยครั้ง หลายคนไปขอซื้อชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ชาวบ้านเก็บไว้ หลายคนสอบถาม และรวบรวมข้อมูลความเห็นจากผู้เห็นเหตุการณ์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางการจีนได้ออกปฏิเสธเรื่องนี้มาหลายครั้งในหลายโอกาส ทั้งยืนยันว่า J-20 “เมด อิน ไชน่า” ล้วนๆ รวมทั้งใช้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่จีนผลิตเองด้วย
ผู้อ่านชาวอเมริกันที่ใช้ชื่อ DeltaNiner ตั้งคำถามว่า “แล้วใครจะเป็นลูกค้า J-21 .. ฟิลิปปินส์กับเวียดนามไม่ใช่แน่ๆ ผมเดาว่า ปากีสถาน นอกจากนั้น ก็อาจจะเป็นพม่า บังกลาเทศ ศรีลังกา เกาหลีเหนือ อียิปต์ เวเนซุเอลา กับประเทศแอฟริกาจำนวนหนึ่ง”
ผู้อ่านอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ปากีสถานจะเป็นลูกค้ารายแรก ส่วนพม่ามี MiG-29 อยู่แล้ว ในขณะที่เวเนซุเอลาชอบซูคอยมากกว่า เกาหลีเหนือใช้อาวุธทีมีอยู่ต่อไปได้ ศรีลังกาขาดงบประมาณ ส่วนอียิปต์เป็นลูกค้ายุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ กับรัสเซียมากกว่าของจีน นอกนั้นก็อาจจะเป็นอีกบางประเทศในแอฟริกา
แต่ผู้อ่านชาวสเปนที่ใช้ชื่อ figatova แสดงความสงสัยว่า เพราะเหตุใด จีนจึงขนย้ายเครื่องบินต้นแบบตอนกลางวันแสกๆ ซึ่งเป็นเป้าสายตาของดาวเทียมจารกรรม และสปายสายลับรอบข้าง นอกจากนั้น การที่จีนสร้างเครื่องบินสเตลธ์ลำเล็กลง (เล็กกว่า J-20) นั้น จีนมีแผนที่จะใช้ประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินในอนาคตหรือไม่
เป็นที่แน่นอน ชาวอเมริกันทั่วไปย่อมจะไม่เชื่อว่า J-21 ของจีนจะไปเทียบชั้นกับ F-35 ได้ในเร็ววัน บางคนยังให้ความเห็นแบบอารมณ์ดีว่า จีนอาจจะแค่ “เขียนเสือให้วัวกลัว” รั่วภาพออกมาเพื่อเขย่าขวัญประเทศเพื่อนบ้านเล็กๆ ที่เป็นคู่กรณีในทะเลจีนใต้เท่านั้น.