.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สื่อของทางการจีนได้ออกรายงานในสัปดาห์นี้ โดยนำเครื่องบินรบอเนกประสงค์ J-10 ไปเปรียบเทียบกับ Su-30 ของรัสเซีย ที่ประจำการในเวียดนาม อินเดีย รวมทั้งมาเลเซียกับอินโดนีเซียในปัจจุบัน อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยระบุว่า เครื่องบินรบของจีนที่ปรับปรุงขึ้นใหม่เหนือกว่าในทุกด้าน
นิตยสารข่าวโกลบอล ไทมส์ ของจีนกล่าวในเว็บไซต์ว่า J-10B ที่พัฒนาใหม่ได้ติดอุปกรณ์และเครื่องมือใหม่ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ระบบควบคุมการบิน และเรดาร์ใหม่ที่สามารถสแกนเป้าหมายได้ไกลกว่า กว้างกว่ารุ่นเก่า และยังลดการสะท้อนเรดาร์ของข้าศึกลง ซึ่งทำให้ “ล่องหน” ได้มากกว่าเดิมอีกด้วย
รายงานของสื่อจีนดูราวกับเป็นความพยามตอบโต้ข่าวในสื่อกลาโหมรัสเซียที่ออกมาสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่า อินเดียมีปัญหากับการซื้อเครื่องบินรบราฟาล (Rafale) ล็อตใหญ่จากฝรั่งเศส และหันมาพัฒนา Su-30MKI โดยเพิ่มขีดความสามารถในการติดขีปนาวุธนิวเคลียร์
สื่อรัสเซียรายงานปลายสัปดาห์ที่แล้วเช่นกันว่า เวียดนามกำลังเจรจาซื้อ Su-30 อีก 18 ลำ ทั้งหมดเป็น Su-30KN ที่พัฒนาใหม่ล่าสุด ล้ำหน้ากว่าทุกรุ่นในตระกูล Su-27/30 ในสงครามทางอากาศ ซึ่ง Su-30 รุ่นที่แล้วภายใต้รหัส MK2V เวียดนามเน้นสงครามทางทะเล คือการปราบเรือดำน้ำ และทำลายเรือรบข้าศึก
นักวิเคราะห์กลาโหมกล่าวว่า การจัดซื้อ Su-30KN ของเวียดนามสอดคล้องกับการเซ็นซื้อระบบป้องกันทางอากาศล้ำหน้าที่ผลิตในประเทศเบลารุสอีก 20 ชุด นั่นคือ เตรียมรับมือกับ J-20 “สเตลธ์” ของจีน หากเกิดสงครามขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ แต่ไม่มีใครกล่าวถึง J-10 แต่อย่างใด
ความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ ยังมีขึ้นหลังจากสื่อออนไลน์ภาษาเวียดนาม กับสื่อกลาโหมในรัสเซียปูดข่าวว่า ระบบเรดาร์ของเบลารุสที่เวียดนามใช้อยู่ในปัจจุบัน สามารถจับความเคลื่อนไหวของ J-20 ได้ระหว่างการฝึกซ้อมครั้งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสื่อออนไลน์
อย่างไรก็ตาม โกบอล ไทมส์ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ หากเน้นไปที่ขีดความสามารถใหม่ของ J-10B ซึ่งในปัจจุบัน เป็นกำลังหลักของกองทัพอากาศ
สำนักข่าวหว่านเกิว (Hoan Cau) สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามที่ปูดข่าวเรดาร์จับเครื่องบิน J-20 สัปดาห์ก่อนยอมรับว่า หากเทียบกับ J10A กับ J-11 แล้ว J-10B เป็นเครื่องบินรบสมรรถนะสูงสุดของจีนในปัจจุบัน และอาจจะเทียบชั้นราฟาลของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเครื่องบินรบยุค 4++ ได้อีกด้วย
.
.
จีนประสบความสำเร็จในการทดสอบ J-10 ตั้งแต่เดือน ธ.ค.2551 เครื่องต้นแบบออกมามีรูปร่างหน้าตาคล้าย F-16 ของสหรัฐฯ แทบจะทุกกระเบียด แม้ว่ารายละเอียดจะต่างกันอยู่ในหลายจุดก็ตาม จากนั้น ก็เริ่มพัฒนา J-10B เพิ่มขีดความสามารถในด้านต่างๆ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรบ
ขณะเดียวกัน สื่อของจีนได้รายงานในสัปดาห์ต้นเดือนนี้ว่า การทดสอบเครื่องบิน J-15 ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับเรือบรรทุกเครื่องบินนั้น ได้งวดเข้ามาทุกที จนเกือบจะเดินสายการผลิตได้แล้ว การพัฒนาไปถึงขั้นที่ว่า ระบบเรดาร์อะไรต่างๆ ของ J-15 มีประสิทธิภาพสูงกว่าของ Su-33 ต้นแบบอีกด้วย
จีนซื้อโครง Su-33 ที่สหภาพโซเวียตเก่าทิ้งเอาไว้จากสาธารณรัฐยูเครนและนำไปพัฒนาเป็นเครื่องต้นแบบ J-15 ขณะเดียวกัน ก็ซื้อโครงเรือบรรทุกเครื่องบินวาร์แย็กซึ่งเป็นโครงต้นแบบเดียวกันกับเรือบรรทุกเครื่องบินแอดมิรัลคูซเน็ตซอฟของกองทัพเรือรัสเซียปัจจุบัน แต่โซเวียตสร้างยังไม่แล้วเสร็จ และทิ้งเอาไว้ในยูเครน จีนนำไปทำขึ้นใหม่กลายเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของประเทศ
จีนประกาศจะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินของตนเองในระยะ 10-20 ปีข้างหน้า และพัฒนา J-15 เป็นการเตรียมรับอนาคต
กองทัพเรืออินเดียเป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีเรือบรรทุกเครื่องบินที่สร้างจากต้นแบบของโซเวียตเช่นกัน ด้วยความร่วมมือช่วยเหลือจากรัสเซีย ปัจจุบัน เรือวิกรมดิฐย์ (INS Vigramaditya) ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 2 อยู่ระหว่างออกแล่นทดสอบระบบต่างๆ ในทะเล
แต่ต่างไปจากรัสเซีย ที่กำลังจะยกเลิก Su-33 และใช้่เครื่องบินรุ่นใหม่ประจำบนเรือคูซเน็ตซอฟ จีนกำลังพัฒนา “Su-33” เวอร์ชันของตนเอง อินเดียเลือกพัฒนามิก-29 (MiG-29) ที่ผลิตในประเทศ ประจำเรือบรรทุกเครื่องบินลำล่าสุด.