เอเอฟพี - ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุวานนี้ (1 ก.ค.) ว่า อัตราความยากจนสูงในกลุ่มชาติพันธุ์ของพม่า สามารถก่อให้เกิดความไม่สงบ และขัดขวางกระบวนการการปฏิรูปประเทศ
การว่างงาน และผลผลิตทางการเกษตรต่ำ ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของพม่าตกอยู่ในภาวะยากจน โดย ABD จัดอันดับให้ประชาชนราวร้อยละ 75 ของรัฐชิน เกือบครึ่งของรัฐยะไข่ และ 1 ใน 3 ของรัฐชาน อยู่ในสถานะยากจน
นายสตีเฟน โกรฟฟ์ รองประธาน ADB ระบุว่า ความแตกต่างภายในพม่าสามารถนำไปสู่ปัญหาความไม่สงบทางเชื้อชาติ และสังคมซึ่งขัดขวางศักยภาพของประเทศ การลงทุนเพื่อกระตุ้นผลผลิตทางการเกษตร และการเข้าถึงตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศของบรรดาเกษตรกร สามารถช่วยยกระดับประชาชนหลายล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจนได้
พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รวมทั้งตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศซึ่งอยู่ระหว่างอินเดีย และจีน ทำให้พม่าเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคประเทศที่รุ่งเรืองหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 2486 แต่การจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาดภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการทหาร ทำให้ภาคการเกษตรของประเทศได้รับความเสียหาย
โกรฟฟ์ระบุว่า พื้นที่ชนบทต้องเชื่อมต่อกับส่วนที่เหลือของประเทศและโลก และระบุว่าประธานาธิบดีเต็งเส่งได้กล่าวในการประชุมเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า พม่ายังขาดปัจจัยพื้นฐาน เช่น เมล็ดพันธุ์ ทำให้ผลผลิตจากการเพาะปลูกในอนาคตขึ้นอยู่กับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้น
การศึกษาของ ADB ระบุว่า การลงทุนที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าของประชาชน จากปัจจุบัน ที่มีประชาชนเข้าถึงเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น รวมทั้งการปรับปรุงการคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยให้ประชาชนหลายล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน
ADB ที่ให้เงินทุนกู้ยืมเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ต้องการให้พม่าจัดการกับปัญหาหนี้สินจำนวน 500 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่ธนาคารจะสามารถให้พม่ากู้ยืมทุนครั้งใหม่ได้ ซึ่งโกรฟฟ์กล่าวว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจใช้เวลาหลายปีกว่าจะแสดงผล
“หากเศรษฐกิจเติบโตที่ร้อยละ 5-6 ต่อปี พม่าจะใช้เวลาประมาณ 30 ปี ถึงจะอยู่ในระดับเดียวกับเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้” โกรฟฟ์กล่าว พร้อมกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการจะเข้าลงทุนในพม่าสนับสนุนการปฏิรูปการเมือง และระบบกฎหมายที่เข้มแข็ง.