xs
xsm
sm
md
lg

“เหวียนกาวกี่” ไม่ได้กลับเวียดนาม เผาในมาเลย์ อัฐิกลับเมกาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<bR><FONT color=#000033>เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอกชนถืออาวุธทำหน้าที่คุ้มกัน ขณะเคลื่อนศพของอดีตผู้นำเวียดนามใต้เหวียนกาวกี่ (Nguyen Cao Ky) ไปยังวัดแห่งหนึ่งทางตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันศุกร์ 29 ก.ค. หลังพิธีไว้อาลัยที่ศูนย์จัดงานแห่งหนึ่งในวันเดียวกัน อดีตผู้นำในยุคที่เวียดนามภาคใต้ปั่นป่วนที่สุดก่อนนำไปสู่ วันสิ้นชาติ ไม่ได้กลับไปฝังร่างในแผ่นดินแม่ตามที่ปรารถนา เจ้าตัวขับเฮลิคอปเตอร์นำครอบครัวออกจากกรุงไซ่ง่อนไม่กี่วันก่อน กรุงแตก ในสิ้นเดือน เม.ย.2518 และ อาศัยทำกินอยู่ในสหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่ ถึงแก่กรรมในเมืองหลวงมาเลเซียในวันที่ 23 ก.ค.2554. -- AFP PHOTO/Saeed Khan.</b>

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ในที่สุดเหวียนกาวกี่ (Nguyen Cao Ky) อดีตนายกรัฐมนตรี และรองประธานาธิบดีแห่งเวียดนามใต้ในอดีต ก็ไม่ได้กลับไปฝังร่างในเวียดนามตามความประสงค์ ภรรยา ลูกๆ และหลานๆ จัดพิธีศพให้ในมาเลเซีย และคาดว่าจะนำอัฐิกลับไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาศัยอยู่มาตั้งแต่ปีที่กรุงไซ่ง่อนแตก

ตามรายงานของสำนักข่าวเอเอฟพี พิธีไว้อาลัยอดีตนายพลผู้โด่งดัง อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศของสาธารณรัฐเวียดนามที่สหรัฐฯ หนุนหลังให้ต่อสู้เวียดนามเหนือกับเวียดกง จัดขึ้นในวันศุกร์ 29 ก.ค.ศกนี้ มีวงดุริยางค์บรรเลงเพลง กับพระสงฆ์ 3 รูปสวดมนต์ ขณะสมาชิกครอบครัวสวมชุดดำและคาดศีรษะด้วยผ้าขาวไว้ทุกข์

พิธีจัดขึ้นที่ศูนย์จัดงานแห่งหนึ่งชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำ ภรรยาคนปัจจุบันคือ นางเลกิมนิโคล (Le Kim Nicole) ชาวเวียดนามอเมริกัน เป็นผู้กล่าวประวัติของผู้ตายพลางเช็ดน้ำตา ต่อหน้าสามีซึ่งนอนอยู่ในโลงฝาแก้วในชุดเครื่องแบบสีชาวผูกไทสีดำ

ผู้จัดการบริษัทจัดงานศพเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า เจ้าภาพขอให้ประดับห้องด้วยดอกกุหลาบสีขาวกับดอกคาร์เนชั่นสีม่วง อันเป็นสีโปรดของอดีตผู้นำ

พิธีฌาปนกิจมีขึ้นในวันเดียวกันที่วัดแห่งหนึ่งทางตะวันตกกรุงกัวลาลัมเปอร์และคาดว่าจะนำอัฐิกลับไปยังสหรัฐฯ โดยไม่มีผู้ใดกล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความตั้งใจของผู้ตายที่จะให้นำร่างกลับไปฝังในเวียดนาม

แต่เหวียนกาวกี่ซเวียน (Nguyen Cao Ky Duong) บุตรสาวบอกกับเอเอฟพีว่า ความปรารถนาสุดท้ายของบิดาคือ จะช่วยให้ผู้ที่มีความต้องการเรียนภาษาอังกฤษและขาดโอกาสได้เรียนภาษานี้ จึงได้ตั้งโรงเรียนสอนภาษาขึ้น

"คุณพ่อตั้งโรงเรียนนานาชาติขึ้นในมาเลเซีย ตามความปรารถนาสุดท้าย ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไม่ว่าจะเป็นชาติใดก็ตามเพื่อให้ได้เรียนภาษาอังกฤษ" บุตรีกล่าวกับเอเอฟพี

หนังสือพิมพ์เตี่ยนฟอง (Tien Phong) หรือ "ผู้บุกเบิก" ในเวียดนามรายงานในสัปดาห์นี้ว่า ศพของอดีตผู้นำแห่งเวียดนามใต้จะถูกนำกลับไปฝังในเวียดนาม อันเป็นความปรารถนา แต่สื่อของทางการก็ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับกำหนดการต่างๆ รวมทั้งแหล่งที่มาของข่าวดังกล่าว
<bR><FONT color=#000033>ลูกๆ กับญาติของ พล.ต.เหวียนกาวกี่ กำลังคลุงธงชาติสหรัฐฯ ทับลงบนธงชาติอดีตสาธารณรัฐเวียดนาม ระหว่างพิธีไว้อาลัยวันที่ 29 ก.ค.2554 ที่ศูนย์จัดงานแห่งหนึ่งชานเมืองหลวงของมาเลเซีย พิธีฌาปนกิจมีขึ้นในวัดแห่งหนึ่งในวันเดียวกัน อดีตผู้นำแห่งเวียดนามใต้ไม่ได้กลับไปฝังร่างในแผ่นดินแม่ตามความปรารถนา.-- AFP PHOTO/Saeed Khan. </b>
<bR><FONT color=#000033>หลานคนหนึ่งปลอบนางเลกิมนิโคล ภรรยาคนปัจจุบันของพล.ต.เหวียนกาวกี่ ระหว่างพิธีไว้อาลัยในวันที่ 29 ก.ค.2554 อดีตผู้นำเวียดนามใต้ถึงแก่กรรมในเมืองหลวงของมาเลเซียเมื่อวันที่ 23 ด้วยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ รวมอายุ 80 ปี พิธีฌาปนกิจจัดขึ้นในวันเดียวกัน อดีตผู้นำไม่ได้กลับไปฝังร่างในเวียดนามบ้านเกิดตามความปรารถนา.--  AFP PHOTO/Saeed Khan. </b>
<bR><FONT color=#000033>งานศพของอดีตผูนำจัดบรรยากาศภายใต้โทนสีขาวกับสีม่วงของกุหลาบกับดอกคาร์เนชั่น อันเป็นสีที่โปรด ในยุคที่เรืองอำนาจชอบสวมชุดนักบิน พันคอด้วยผ้าสีม่วง พล.ต.เหวียนกาวกี่ ถึงแก่กรรมในมาเลเซีย พิธีไว้อาลัยและฌาปนกิจจัดขึ้นที่นั่นในวันที่ 29 ก.ค.2554 ก่อนจะนำอัฐิกลับไปยังสหรัฐฯ ไม่มีโอกาสได้กลับไปฝังร่างในเวียดนามแผ่นดินแม่ตามที่ปรารถนา.-- AFP PHOTO/Saeed Khan</b>
สำนักข่าวออนไลน์หลายแห่งรายงานในวันเดียวกันว่า เมื่อไปเยือนเวียดนามครั้งแรกในปี 2547 อดีตผู้นำเคยให้สัมภาษณ์ว่า อยากจะขอใช้ชีวิตในบั้นปลายในแผ่นดินแม่ แต่แล้วก็ไม่ได้มีโอกาส

อดีตนายกรัฐมนตรีเวียดนามใต้แก่กรรมด้วยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ในวันที่ 23 ก.ค.ในเมืองหลวงมาเลเซีย รวมอายุ 80 ปี

พลตรีเหวียนกาวกี่ หรือ "เหงียนเกากี" ที่เรียกขานกันมานานในประเทศไทย เรียนเป็นนักบินในฝรั่งเศสและมอรอกโก สำเร็จวิชาการสงครามทางอากาศจากสหรัฐฯ เป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลกรุงไซ่ง่อนในปี 2508-2510 อันเป็นช่วงปีที่สหรัฐฯ กำลังเพิ่มอิทธิพลในเวียดนามภาคใต้ ต่อต้านการแผ่อิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือและจีนในยุคสมัยนั้น

หลังจากนั้นได้เป็นรองประธานาธิบดีระหว่างปี 2511-2514 และวางมือจากการเมืองในช่วงปีที่เวียดนามภาคใต้วุ่นวายปั่นป่วนมากที่สุด ก่อนนำไปสู่ "วันสิ้นชาติ" ในอีก 4 ปีต่อมา เมื่อกองกำลังฝ่ายเวียดนามเหนือกับเวียดกงเข้ายึดกรุงไซ่ง่อนในวันที่ 30 เม.ย.2518

ไม่กี่วันก่อนกรุงแตก พล.ต.กี่ขับเฮลิคอปเตอร์นำครอบครัวออกจากกรุงไซ่ง่อนไปยังเรือบรรทุกเครื่องบินบลูริดจ์ ของสหรัฐฯ และ ต่อมาไปตั้งหลักแห่งที่เมืองเวสต์มินสเตอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองใดๆ อีกเลย

แต่งงาน 3 ครั้ง มีบุตร 6 คน ในนั้น 5 คนเกิดกับภรรยาชาวฝรั่งเศส บุตรสาวที่ดูแลบิดาเกิดกับภรรยาคนที่ 2 "สตรีหมายเลข 1" ในยุคเรืออำนาจ ไม่มีบุตรกับภรรยาคนปัจจุบัน

อดีตผู้นำเดินทางกลับกรุงไซ่ง่อนครั้งแรกใน 29 ปีต่อมา จากนั้นได้นำคณะนักลงทุนจากสหรัฐฯ กลับเข้าเวียดนามอีกหลายครั้ง เจ้าตัวกล่าวว่าทุกฝ่ายควรจะลืมสงครามในอดีตที่ "ต่างชาติ" ทำให้ชาวเวียดนามพี่น้องเข่นฆ่ากันเอง.
กำลังโหลดความคิดเห็น