โดย วุฒิพงษ์ หลักคำ-บุญญะสาร
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรองประธานาธิบดีแห่งเวียดนามใต้ในช่วงปีก่อนล่มสลาย มีความประสงค์ขอให้นำร่างของตนกลับไปฝังในแผ่นดินเกิด และ ครอบครัวกับทายาทจะดำเนินการให้เป็นไปตามความประสงค์นั้น หนังสือพิมพ์เตี่ยนฟอง (Báo Tiền Phong) รายงานเรื่องนี้
หนังสือพิมพ์ของทางการไม่ได้ให้รายละเอียดอื่นใดอีกเกี่ยวกับกำหนดการ ตลอดจนสถานที่ที่จะใช้ฝังศพอดีตผู้นำคนดัง และ ไม่ได้อ้างถึงแหลงที่มาของข้อมูลล่าสุดนี้
พลตรีเหวียนกาวกี่ (Nguyễn Cao Kỳ) หรือ “เหงียนเกากี” ตามที่ชาวไทยเรียกขานกันทั่วไป เคยให้สัมภาษณ์ในปี 2547 เมื่อกลับไปเวียดนามครั้งแรก แสดงความประสงค์อยากจะใช้ชีวิตบั้นปลายในดินแดนบ้านเกิด แต่แล้วก็ไม่ได้ใช้โอกาสนั้น อดีตผู้นำถึงแก่กรรมในวันที่ 23 ก.ค.2554 ในประเทศมาเลเซียด้วยวัย 80 ปี
ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี พล.ต.กี่ รักษาอาการล้มป่วยเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ หลานคนหนึ่งเป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้ในสหรัฐฯ และยังไม่มีรายงานความคืบหน้าใดๆ อีกนับแต่นั้น
นายพลผู้อื้อฉาวเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศรัฐบาลเวียดนามใต้ มีชื่อเสียงในฐานะผู้นำกลุ่มทหาร “ยังเติร์ก” ที่มีความคิดก้าวหน้า และถูกผลักดันให้เข้าต้องเข้าสู่การเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
ในเดือน พ.ย.2507 พลตรีกี่เข้าร่วมการรัฐประหารยึดอำนาจจากอดีตประธานาธิบดีโง-ดี่ง-ซเวียม (Ngô Đình Diệm) หรือ “โงดินห์เดียม” ที่เรียกกัน นำประเทศเข้าสู่ยุคปั่นป่วนที่สุด เวียดนามใต้ปกครองโดยคณะรัฐประหารยาวนานหลังจากนั้น และยังเป็นทศวรรษที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น การฆาตกรรมทางการเมืองและการทรยศหักหลังในหมู่ผู้นำกองทัพ ขณะสงครามเวียดนามกำลังเข้มข้น
ระหว่างปี 2508-2510 พลตรีเป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลที่สหรัฐฯ ให้การหนุนหลัง และต่อมาระหว่างปี 2510-2513 เป็นรองประธานาธิบดีในรัฐบาลประธานาธิบดีเหวียนวันเทียว (Nguyễn Văn Thiệu) หมายถึงการถูกลดทอนอำนาจลง
ในเดือน เม.ย.2518 เมื่อรัฐบาลใกล้ถึงกาลล่มสลาย ก่อนที่ฝ่ายเวียดนามเหนือกับกองกำลังเวียดกงจะยาตราเข้าบุกยึดกรุงไซ่ง่อนไม่กี่วัน พล.ต.กี่ ได้นำครอบครับหลบหนีและถูกนำไปยังเรือบรรทุกเครื่องบินบลูริดจ์ (USS Blue Ridge) ของกองทัพสหรัฐฯ
อดีตผู้นำที่อื้อฉาวไปปักหลักในแคลิฟอร์เนียเปิดกิจการร้านจำหน่ายสุรา ดำเนินชีวิตเงียบๆ และ หยุดกิจกรรมทางการเมืองทุกอย่างตั้งแต่นั้น
การเดินทางกลับเวียดนามครั้งแรกหลังลี้ภัยในต่างแดน 29 ปี เต็มไปด้วยความอื้อฉาว บรรดาสหายศึกเวียดนามใต้และอดีต และผู้สนับสนุนที่อาศัยทำกินในสหรัฐฯ ออกรุมกล่าวประณามฐานเป็นผู้ทรยศ หันไปคบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์
.
2
3
ระหว่างอยู่ในเวียดนาม พล.ต.กี่ ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก นายเหวียนมีงเจี๊ยต (Nguyễn Minh Triết) ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นเลขาธิการพรรคสาขานครโฮจิมินห์และกลายเป็นข่าวใหญ่ หลังจากกลับไปยังแคลิฟอร์เนียอีกครั้งก็ได้ช่วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์รณรงค์ส่งเสริมการลงทุน นำคณะนักลงทุนจากสหรัฐฯ กลับไปเวียดนามหลายครั้ง
เจ้าตัวกล่าวในครั้งนั้น ว่า สงครามที่ผ่านมาก่อขึ้นโดยต่างชาติ ทำให้ชาวเวียดนามพี่น้องกันต้องเข่นฆ่ากันเอง ทั้งๆ ที่ขณะอยู่ในสหรัฐฯ พล.ต.กี่ ได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคอมมิวนิสต์มาตลอด เคยถูกปฏิเสธวีซ่ามีหลายครั้งเมื่อขอเดินทางกลับประเทศ
พล.ต.กี่ ยังกล่าวถึงฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่ลี้ภัยในสหรัฐฯ ว่า คนพวกนั้นไม่ได้กระทำเพื่อผู้ใด มีแต่เพื่อตนเองทั้งสิ้น ขณะที่ทุกฝ่ายควรจะลืมอดีตและหันหน้ามาปรองดองกัน
“ในอีก 100 ปีข้างหน้าชาวเวียดนามจะหันกลับมองดูสงครามด้วยความเสียใจ เราไม่ควรจมออยู่กับอดีตสงครามเพราะจะไม่เป็นประโยชน์ต่ออนาคตของเวียดนาม ความห่วงใยของผมในขณะนี้ก็คือ ฐานะของเวียดนามในแผนที่โลก” สื่อของทางการอ้างคำพูดของ นายพลกี่ในปี 2547
แต่ถึงกระนั้น เมื่อข่าวเกี่ยวกับการถึงแก่กรรมแพร่ออกไปในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อของทางการหลายสำนักก็ยังเรียก นายพลผู้นี้เป็นเพียง “อดีตผู้นำรัฐบาลหุ่น”
เกิดปี พ.ศ.2470 ใน จ.เซินไต (Sơn Tây) ทางตะวันตกกรุงฮานอยเมื่อก่อน สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพฝรั่งเศส ถูกส่งไปเรียนเป็นนักบินขับไล่ในฝรั่งเศสและประเทศมอรอกโก เมื่อเจ้าอาณานิคมพ่ายศึกที่เดียนเบียนฟูปี พ.ศ.2497 นายทหารหนุ่มได้ตัดสินใจลงใต้ และระหว่างรับราชการในกองทัพรัฐบาลใหม่ ได้ทุนจากสหรัฐฯ ไปศึกษาต่อวิชาการสงครามทางอากาศ
ในวัยหนุ่มใช้ชีวิตหรูหราแบบเพลย์บอย เคยเป็นนายแบบให้กับสินค้าแบรนด์เนม ชอบสวมเสื้อแจกเกตหนังสีดำของนักบิน พันผ้าพันคอสีม่วง สวมหมวกสีฟ้าเป็นเอกลักษณ์ มีชื่อเสียงในเรื่องการพนัน บุหรี่ สุราและนารี ครบสูตร
.
4
5
มีการบันทึกเอาไว้ว่า เสืออากาศหนุ่มเคยนำเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นจากฐานทัพเตินเซินญุต (Tân Sơn Nhứt ) เมื่อก่อน (เตินเซินเญิ๊ต -Tân Sơn Nhất ในปัจจุบัน) ไปลงจอดกลางถนนในไซ่ง่อนที่หน้าบ้านของหญิงคนรักคนหนึ่ง เพื่อจะสร้างความประทับใจให้กับเธอและครอบครัว
แม้แต่ในยามที่เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศและเป็นผู้นำประเทศ นายพลคนดังก็ยังไม่ละทิ้งเรื่องเหล่านี้ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ที่อยู่เบื้องหลังมีความวิตกกังวล
ตามที่มีการบันทึกเอาไว้ นายทหารสหรัฐฯ ในกรุงไซ่ง่อนคนหนึ่งเคยเรียกพลตรีกี่เป็น “ขีปนาวุธไม่นำวิถี” (Unguided Missile) พร้อมจะพุ่งชนเป้าหมายทุกอย่าง ในทุกๆ เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องน่าห่วงใยทางการเมือง
ตามประวัติอย่างเป็นทางการ พลตรีกี่แต่งงาน 3 ครั้ง มีลูก 6 คนกับหลานๆ อีก 14 ในนั้น 5 คนแรกเกิดกับภรรยาคนแรกซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสที่พบรักเมื่อครั้งไปเรียนเป็นนักบิน
หลังจากหย่ากันไม่นาน และเดินทางบ่อยๆ นายพลหนุ่มใหญ่แต่งงานครั้งที่ 2 กับแอร์โฮสเตส ดัง-ถิ-ตเวี๊ยต-มาย (Đặng thị Tuyết Mai) ซึ่งเป็นสาวสวยร่วมสมัยกับนางอีเมลดา มาร์กอส ในฟิลิปปินส์ และ เป็นภรรยาในช่วงที่มีอำนาจสูงสุด มีบุตรีด้วยกัน 1 คนคือ เหวียนกาวกี่ซเวียน (Nguyễn Cao Kỳ Duyên)
ในยุคใหม่ “คุณหนูซเวียน” กลายเป็นนักร้องและเป็นพิธีกรทางโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงในประชาคมชาวเวียดนามที่อาศัยทำกินในสหรัฐฯ
ปัจจุบันพลตรี กี่ อยู่กินกับภรรยาคนที่ 3 นางเลกิม “นิโคล” (Kim Nicole Le) ชาวเวียดนาม-อเมริกัน ไม่มีบุตรด้วยกัน
ในวันนี้ “ท่านผู้หญิง ตเวี๊ยตมาย” ในอดีต ยังอาศัยอยู่ในนครลอสแองเจลิสกับบุตรสาว แต่มีร้านเฝอ (ก๋วยเตี๋ยว) ในนครโฮจิมินห์ และ “คุณหนูซเวียน” มีคอฟฟี่ช้อปที่นครด่าหนัง ทั้งนี้เป็นรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรส.
หวลคืนวันเก่าๆ Vietnam War Archive
6
7
8
8