เอเอฟพี - ท่ามกลางแสงแดดยามเที่ยงวัน ชายชาวกัมพูชารายหนึ่ง โผล่ออกมาช้าอุโมงค์ดิน พร้อมถุงที่เต็มไปด้วยหินบนหลังที่ได้จากเหมือง ซึ่งขุดขึ้นด้วยมือในพื้นที่ห่างไกลของกัมพูชา หรือรู้จักในชื่อ “ป่าทอง” หรือ “โกลด์ฟอร์เรสต์”
นายรีก๊วก (Ry Kuok) เป็นหนึ่งในชาวกัมพูชาอีกหลายร้อยคนที่ค้นหาโลหะสีเหลืองในหมู่บ้าน โอคลอ (O'Clor) จ.มณฑลคีรี ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ที่กำลังถูกคุกคามที่ทำกินโดยบริษัททำเหมืองแร่จากต่างชาติในยุคที่ทองคำกำลังมีราคาพุ่งสูง
หากวันใดโชคดี ชายอายุ 29 ปีผู้นี้ สามารถหารายได้จากการขุดทองได้ประมาณ 12.50 ดอลลาร์ นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเมื่อเทียบกับประเทศที่ประชากร 1 ใน 3 มีรายได้ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์ต่อวัน
แต่งานเหมืองมีทั้งความอันตรายและยากลำบาก รวมทั้งยังเป็นการทำผิดกฎหมายอีกด้วย
ชาวกัมพูชานับหมื่นจากทั่วประเทศ ที่เข้าขุดหาทองในพื้นที่แห่งนี้ ได้รับการยอมรับอย่างเงียบๆ โดยรัฐบาลมานานหลายทศวรรษ แต่เสียงเริ่มเปลี่ยนเมื่อบริษัทต่างชาติเริ่มสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการมูลค่าหลายล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองทอง ทำให้ไม่มีที่ว่างสำหรับนักขุดทองผิดกฎหมายเหล่านี้อีก
“ผมไม่ได้คาดหวังว่า เราจะสามารถขุดทองที่นี่ได้นาน” นายก๊วก กล่าว ขณะร่อนหินมองหาเศษทอง เขายังกล่าวว่า เหล่านักขุดทองท้องถิ่นได้รับแจ้ง มีบริษัทซื้อพื้นที่บริเวณนี้และไม่อนุญาตให้ชาวบ้านขุดเหมืองต่อไป
กัมพูชามีแหล่งทองคำอยู่อย่างน้อย 19 แห่ง ซึ่งดึงดูดความสนใจจากบริษัทเหมืองแร่ต่างชาติ ทั้งออสเตรเลีย จีน เกาหลีใต้ และ เวียดนาม แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมประเมินว่ากัมพูชาสามารถสกัดทองคำได้นานไปอีกประมาณ 5 ปี แต่ก็ยังไม่มีใครทราบปริมาณที่มีอยู่ทั้งหมด
ในปี 2553 บริษัท โอซีมิเนอรัล จากออสเตรเลีย ประกาศว่า พบทอง 605,000 ออนซ์ ใน จ.มณฑลคีรี แต่เมื่อไม่นานนี้ได้ระบุว่าโครงการขุดเจาะอาจยุติลง
อย่างไรก็ตาม นายริชาร์ด สแตนเจอร์ ประธานสมาคมบริษัทสำรวจและทำเหมืองแร่กัมพูชา กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหมืองแร่อาจจะเป็นส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชาในอนาคต
เหมืองโอคลอ ซึ่งดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย ตั้งอยู่ในเปรยเมียส (Prey Meas) ที่แปลว่า Gold Forest ห่างจากเมืองแสนมโนรม (Sen Monorom) ของ จ.มณฑลคีรี ประมาณ 5 ชม. ผ่านเส้นทางขรุขระ
นักขุดทองอย่างนายก๊วกได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ในพื้นที่นี้ตั้งแต่ปี 2524 ซึ่งกลายเป็นบ้านของเขาไปแล้ว
รัฐบาลกัมพูชาได้มอบสิทธิให้บริษัทจากจีนเข้าสำรวจโลหะมีค่าในผืนป่าแห่งนี้ และได้ดำเนินการสำรวจพื้นที่ซึ่งอยู่ถัดไปจากเหมืองโอคลอ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สัมปทานของบริษัท
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในบริเวณดังกล่าวระบุว่า บริษัทที่เข้าสัมปทานชื่อว่า Rong Chheng แต่รายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับบริษัทหรือสัญญาสัมปทานนั้นมีเพียงเล็กน้อยและขาดความโปร่งใส นักวิจารณ์กล่าวว่า เป็นลักษณะปกติของการทำเหมืองในกัมพูชา
ราคาทองพุ่งสูงเป็นประวัติกาลในตลาดระหว่างประเทศและพุ่งไปถึง 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในเดือน เม.ย.เนื่องจากนักลงทุนต่างกักตุนไว้เมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อสูง
ขณะเดียวกัน นักขุดทองผิดกฎหมายในพื้นที่ “ป่าทอง” ก็สามารถทำรายได้จากการขายเศษทองให้กับผู้ค้าท้องถิ่นได้เงินหลายร้อยดอลลาร์ต่อเดือน
“เราอยู่รอดได้เพราะทองคำมีราคาสูงขึ้นในตอนนี้” นายสุมสุคูน (Sum Sokhon) อายุ 51 ปี กล่าว แต่ระบุว่าการใช้ชีวิตในเหมืองทองผิดกฎหมายไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะพื้นที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก
“เรากังวลเกี่ยวกับสุขภาพของพวกเรา หลายคนล้มป่วย” นายสุคูน กล่าว
นายเกลน เค็นดอล (Glenn Kendall) ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาของสหประชาชาติ (UNPD) ในกัมพูชา กล่าวว่า วัตถุอันตรายเช่น ปรอท หรือ ไซยาไนด์ มักนำไปใช้ในกระบวนการสกัดทองในเหมือทองผิดกฎหมาย และสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง
สารเคมีสามารถส่งผลให้เกิดอาการตั้งแต่ปวดหัวไปจนถึงทำลายระบบประสาท นอกจากนั้นมาตรการรักษาความปลอดภัยยังมีเพียงเล็กน้อย เหตุเหมืองระเบิดและอุโมงถล่มได้คร่าชีวิตคนไปแล้วหลายรายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่เหมืองโอคอลแห่งนี้
“การทอำเหมืองขนาดเล็กเป็นสิ่งที่อันตรายมาก” นายเคนดอล กล่าว
เจ้าหน้าที่ผู้นี้กล่าวด้วยว่า ปัญหาความยากจนผลักดันให้ประชาชนต้องกลายมาเป็นคนงานเหมืองผิดกฎหมาย ชะตากรรมของบรรดาคนงานผิดกฎหมายเหล่านี้อยู่ในมือของรัฐบาล หากมีกฎระเบียบที่เหมาะสม คนงานเหมืองขนาดเล็กก็จะสามารถอยู่ร่วมกับบริษัทเหมืองที่เป็นมืออาชีพได้
นายก้องประสิทธิ์ (Kong Pisith) หัวหน้าสำนักงานอุตสาหกรรม เหมืองแร่ และพลังงาน จ.มณฑลคีรี กล่าวว่า คนงานเหมืองในป่าแห่งนี้ อาจต้องหยุดการทำเหมืองผิดกฎหมาย และว่าเมื่อเหมืองทองเริ่มดำเนินกิจการ ชาวบ้านจะไม่สามารถทำเหมืองที่นี่ได้อีก อาจไปเป็นคนงานให้กับบริษัทต่างชาติหรือเปลี่ยนอาชีพ