xs
xsm
sm
md
lg

เวียดนามชิงอันดับหนึ่งแซงหน้าไทย-จีน ลงทุนในลาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<bR><FONT color=#000033>ภาพถ่ายวันที่ 16 มี.ค.2554 พระสงฆ์ลาวกำลังเดินผ่านแผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ของกลุ่มหว่างแองซยาลาย (Hoang Anh Gia Lai)  เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในนครเวียงจันทน์โดยกลุ่มทุนใหญ่ในเวียดนาม สื่อทางการกล่าวว่า ปัจจุบันเวียดนามยังคงนำหน้าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ลงทุนมากที่สุดในลาว. --  AFP PHOTO/Hoang Dinh Nam. <bR>

วีเอ็นเอ - จดหมายข่าวที่ออกโดยกรมส่งเสริมการลงทุนในกระทรวงวางแผนและการลงทุนของลาว ระบุว่า เวียดนามเป็นประเทศผู้ลงทุนจากต่างชาติอันดับหนึ่งของลาว แทนที่จีนและไทย

บริษัทของเวียดนามลงทุนโครงการต่างๆ ในลาวทั้งหมด 252 โครงการ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ระหว่างปี 2543-2553 ด้วยมูลค่าลงทุนทั้งหมด 2,770 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เวียดนามขึ้นนำในการจัดอันดับประเทศผู้ลงทุนต่างชาติเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ

บริษัทจากจีนได้เข้าลงทุนในลาวทั้งหมด 397 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,710 ล้านดอลลาร์ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อยู่ในอันดับที่ 2 ของประเทศผู้ลงทุนในลาว ขณะที่ไทยลงทุนในลาวทั้งหมด 276 โครงการ มูลค่ารวม 2,680 ดอลลาร์

“มูลค่าการลงทุนของเวียดนามมีมากกว่าจากจีนและไทย นับตั้งแต่ปลายปี 2553 เป็นต้นมา” นายมะโนมอง วงไซ (Manothong Vongsay) รองผู้อำนวยการกรมการลงทุน กล่าวกับหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทม์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทของเวียดนามเริ่มเข้ามาลงทุนในโครงการเกี่ยวกับเหมืองแร่และเขื่อนไฟฟ้าในลาว ส่งผลให้การลงทุนจากเวียดนามพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

“และอีกหนึ่งของโครงการสำคัญของเวียดนามคือโครงการพัฒนาสนามกอล์ฟมูลค่าพันล้านดอลลาร์ในกรุงเวียงจันทน์” นายมะโนทอง กล่าว

ลาวได้แก้ไขและประกาศใช้กฎหมายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติในต้นปี 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะดึงดูดบริษัทจากต่างชาติเข้ามาลงทุนในภาคส่วนที่ไม่ใช่ทรัพยากรของประเทศ และกฎหมายดังกล่าวจะสร้างแรงจูงใจให้มีการลงทุน รวมทั้งการแบ่งภาษีและสิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่อาศัยในลาว นอกจากนั้น กฎหมายที่ปรับแก้ไขใหม่ยังจัดให้มีบริการแบบ one-stop service ให้กับบริษัทต่างชาติในการขอใบอนุญาตลงทุนในลาว และลดขั้นตอนในการยื่นเสนอขออนุมัติการลงทุนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

การลงทุนหลั่งไหลเข้ามาในลาวมากขึ้น ลาว และ เวียดนาม มีข้อตกลงกระตุ้นการค้าในระดับทวิภาคีให้ได้มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2553 และตั้งเป้าให้ได้ 2,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2558 และขยายเป็น 5,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2563
กำลังโหลดความคิดเห็น