xs
xsm
sm
md
lg

2553 สหรัฐฯ ขึ้นเบอร์ 1 ลงทุนในเวียดนาม ปีนี้ลงไฮเทคล้วนๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 <bR><FONT color=#000033>เริ่มกันตรงนี้-- ภาพแฟ้มวันที่ 6 ต.ค.2553 นายพอล โอเทลลินี (Paul Otellini) หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอินเทลแห่งสหรัฐฯ (8 จากขวา) กับนายริชาร์ด โฮเวิร์ด (Richard Howard) ผู้อำนวยการใหญ่อินเทลโปรดักส์เวียดนาม (2 จากขวา) กับนายหว่างจุงหาย (Hoang Trung Hai) รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม (10 จากขวา) และ นายเลแท็งหาย (Le Thanh Hai) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิส์สาขานครโฮจิมินห์ (6 จากขวา) ร่วมทำพิธีตัดริบบิ้นเปิดโรงงานออกแบบ ผลิตและทดสอบชิปใหญ่ที่สุดในโลกของอินเทล นักวิเคราะห์มองว่าเวียดนามมองไกลที่ดึงผู้ผลิตชิปเบอร์ 1 ของโลกไปตั้งโรงงานที่นั่นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นจุดผันแปรสำคัญในการดึงดูดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ.-- AFP PHOTO.</font>

ผู้จัดการ360องศารายสัปดาห์ — นักลงทุนอเมริกันได้ชื่อว่าเคลื่อนตัวอืดอาด แต่เมื่อสตาร์ทติดก็จะแรงและเร็วประดุจรถยนต์ที่ผลิตจากดีทรอยต์ฉันใดฉันนั้น และในวันนี้เวียดนามได้เป็นปลายทางลงทุนใหญ่ของสหรัฐฯ สภาหอการค้าอเมริกันในนครโฮจิมินห์ (Am-Cham HCMC) แจ้งให้ทางการคอมมิวนิสต์ เตรียมรับระลอกใหญ่ในปีหน้า

ตามรายงานของกระทรวงวางแผนและการลงทุน ปี 2553 เนเธอร์แลนด์พลิกขึ้นมาเป็นประเทศลงทุนมากที่สุด ในเวียดนาม ตามด้วยสหรัฐฯ กับเกาหลี แต่ความจริงแล้วเบอร์ 1 อันแท้จริงเป็นสหรัฐฯ

สองประเทศที่เคยเป็นคู่สงครามกันได้กลายมาเป็นพันธมิตรที่สนิทสนม แม้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำค่ายทุนนิยมใหญ่กับประเทศสังคมนิยมที่ยังยากดจนจะดูแปลกแยก แต่สำหรับนักลงทุนไม่มีการแบ่งแยก

ปีนี้บริษัทเนเธอร์แลนด์ได้รับใบอนุญาตลงทุนรวมมูลค่า 2,150 ล้านดอลลาร์ ในนั้น 2,140 ล้าน สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนจากถ่านหินใน จ.กว๋างนีง (Quang Ninh) ซึ่งจะลงทุนโดย AES Corp บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ

นั่นคือ การผันเงินของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ไปผ่านบริษัทลูกในเนเธอร์แลนด์ แม้ไม่รวมก้อนนี้นักลงทุนอเมริกันก็ยังมีโครงการอื่นๆ ในเวียดนามรวมเป็นเงินทุน 1,020 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ (Tuoi Tre)

เดือน ม.ค.-พ.ย.ปีนี้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเวียดนาม เพิ่มขึ้นเกือบ 10% รวมเป็นมูลค่า 9,950 ล้านดอลลาร์ เทียบกับปี 2552 และ คาดว่าตัวเลขตอนสิ้นปีจะมากกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์

แต่ นางจอยซ์ เจิ่น (Joyce Tran) ประธานสภาหอการค้าอเมริกันในโฮจิมินห์ กล่าวว่า เวียดนามควรเตรียมพร้อมรับมือให้ดี การลงทุนระลอกที่ 3 จากสหรัฐฯ จะเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงเกือบทั้งสิ้น

สิ่งนี้เป็นผลจากการที่บริษัท อินเทล โปรดักส์เวียดนาม (Intel Products Vietnam) ของอินเทลคอร์ป (Intel Corp) เริ่มผลิตชิปจากโรงงานมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์ในโฮจิมินห์ป้อนตลาดโลก ปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา

ใครๆ ก็บอกว่า รัฐบาลเวียดนามตัดสินใจถูกต้องแล้ว ที่ดึงผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลกเข้าไปเมื่อปี 2549 เพราะอินเทลเป็นแม่เหล็กสำคัญของอุตสาหกรรมผลิตสินค้าไฮเทคต่างๆ และถือเป็นจุดเริ่มของทุนระลอกที่ 3

ปีนี้บริษัทขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ รวมทั้ง 25 บริษัทใน 500 อันดับที่จัดโดยนิตยสารฟอร์จูน (Fortune 500) ได้ไปศึกษาลู่ทางในเวียดนามแล้ว ทั้งหมดอยู่ในอุตสาหกรรม ที่มีมูลค่าเพิ่มมหาศาลไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์ รถยนต์ หรืออิเล็กทรอนิกส์
<bR><FONT color=#000033>ภาพแฟ้มวันที่ 6 ต.ค.2553นายพอล โอเทลลินี (Paul Otellini) หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอินเทลแห่งสหรัฐฯ ปราศรัยในพิธีเปิดโรงงานออกแบบ ประกอบและทดสอบชิปใหญ่ที่สุดในโลกของอินเทล ซึ่งตั้งอยู่ในนครโฮจิมินห์ โรงงานแห่งนี้จ้างแรงงานชาวเวียดนามกว่า 2,000 คน เกือบทั้งหมดต้องฝึกอบรมขึ้นมาเอง รวมทั้งช่วยสถาบันอุดมศึกษาในเวียดนามผลิตบุคคลากรเพื่อวันข้างหน้าอีกด้วย.-- AFP PHOTO</font>
คลื่นลงทุนระลอกแรกจากสหรัฐฯ เข้าเวียดนามในช่วงปี 2538-2543 หลังจากสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ส่วนใหญ่เป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

ระลอกที่ 2 เกิดขึ้นในอีก 5 ปีต่อมา ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโดยบริษัทต่างชาติที่เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทในสหรัฐฯ และ ระลอกที่ 3 จุดพลุโดยบริษัทอินเทล ซึ่งทำให้บริษัทผลิตสินค้าอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ตามเข้าไป กล้องดิจิตอลกับพรินเตอร์ที่ผลิตในเวียดนามออกสู่ตลาดโลกมาหลายปีแล้ว ยุคหน้าจะใช้เทคโนโลยีสูงยิ่งกว่านั้น

หอการค้าอเมริกันได้เตือนให้เวียดนามเปิดการลงทุนในอุตสาหกรรมและบริการต่างๆ ให้กว้างออกไปอีก เพื่อใช้โอกาสนี้ตักตวงเอาทุนจากสหรัฐฯ ที่กำลังไหลบ่า เพราะการผลิตอุตสาหกรรมนั้นต้องการแรงสนับสนุนจากแขนงอื่นๆ ทั่วด้าน

ไม่กี่ปีมานี้เวียดนามได้กลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ อีกรายหนึ่งในเอเชีย มูลค่าการค้าสองฝ่ายในปีนี้คาดว่าจะทะลุ 18,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตเร็วมากหากเทียบกับประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ 15 ปีที่แล้ว

ทุนจากสหรัฐฯ สนใจทำเลที่เรียกว่า “เขตเศรษฐกิจหลักภาคใต้” หรือ SKER (Southern Key Economic Region) ที่ครอบคลุมนครโฮจิมินห์ จ.ด่งนาย (Dong Nai) บี่งซเวือง (Binh Duong) บ่าเหรียะ-หวุงเต่า (Ba Ria-Vung Tau) เตยนีง (Tay Ninh) บี่งเฟื๊อก (Binh Phuoc) ลองอาน (Long An) กับ จ.เตี่ยนซยาง (Tien Giang)

จังหวัดเหล่านี้ ทำรายได้ให้เวียดนามราว 60% ของรายได้ทั้งหมด แอมแชมในโฮจิมินห์ กล่าว

โดยรวมแล้วนักลงทุนอเมริกันยังเป็นอันดับ 6 ในเวียดนาม ถัดจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน กับเกาหลี ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 16,400 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน เวียดนามขาดดุลการค้ามหาศาลในแต่ละปี คาดว่า ปีนี้จะสูงถึง 10,660 ล้านดอลลาร์ เพราะต้องนำเข้าสินค้าทุนต่อเนื่อง

เงินลงทุนจากต่างประเทศ กับเงินที่ชาวเวียดนามโพ้นทะเลส่งกลับบ้านอีกปีละกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ช่วยรักษาดุลชำระเงินของประเทศได้อย่างดี
กำลังโหลดความคิดเห็น