ASTVผู้จัดการออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีกัมพูชาฮุนเซนกับอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งปัจจุบันคือ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้บรรลุข้อตกลงในสัญญาลับ เพื่อร่วมกันแบ่งปันผลประโยชน์ส่วนตัวแบบ “ใต้โต๊ะ” เงินตอบแทนจากบรรดาบริษัทสำรวจน้ำมัน ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างสองประเทศ และเรื่องนี้เชื่อมโยงถึงการตกลงกันในกรณีปราสาทพระวิหารที่กัมพูชานำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกด้วย
สำนักข่าวออนไลน์ KI-Media ของชาวเขมรที่อาศัยทำกินในต่างแดน และสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างกว้างขวาง รายงานเรื่องนี้ในคอลัมน์ “ข่าวกรอง” (Intelligence) ประจำวันที่ 21 มี.ค.2553 ตีพิมพ์เผยแพร่ในวันจันทร์ (22 มี.ค.) นี้
นับเป็นครั้งแรกที่มีข้อมูลเช่นนี้จากสื่อของฝ่ายกัมพูชา หลังจากข้อสงสัยเช่นนี้เกิดขึ้นในฝั่งไทยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
สำนักข่าวแห่งนี้กล่าวว่า ฮุนเซนกับทักษิณ ตกลงกันเรื่องนี้ในต้นปี 2549 จะแบ่งปันผลประโยชน์จากเขตทับซ้อนในน่านน้ำ อย่างกว้างๆ ดังต่อไปนี้ :
- รายได้จากโซนที่อยู่ใกล้กับพูชาที่สุดจะแบ่งออกเป็นดังนี้ คือ กัมพูชาได้รับส่วนแบ่ง 70% และ ไทยได้รับ 30%
- รายได้จากโซนที่อยู่ใกล้กับไทยที่สุด ฝ่ายไทยได้ส่วนแบ่ง 70% และกัมพูชา 30%
อย่างไรก็ตาม ฮุนเซนกับทักษิณ ได้ตกลงกันจะทำให้ ประชาชนในทั้งสองประเทศเข้าใจไขว้เขว โดยจะ “รับรอง” ว่า บางโซนที่อยู่ใกล้กับไทยก็จะถือว่าอยู่ใกล้กัมพูชา และในทางกลับกันบางโซนที่อยู่ใกล้กัมพูชาก็จะถือว่าอยู่ใกล้ไทยด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในกรณีของกัมพูชา แทนที่จะได้รับส่วนแบ่ง 70% ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากที่บรรดาบริษัทน้ำมันจ่ายให้เพียง 30% เท่านั้น อีก 40% ที่เหลือจะแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างฮุนเซนกับทักษิณ
การแบ่งปันผลประโยชน์เช่นนี้จะใช้กับกรณีเขตน่านน้ำทับซ้อนที่อยู่ใกล้กับไทยด้วย ซึ่งจะทำให้บุคคลทั้งสองได้รับส่วนแบ่งคนละ 20% เช่นกัน KI-Media กล่าว
**การเชื่อมโยงกันระหว่างข้อตกลงลับน้ำมันกับกรณีประสาทพระวิหาร**
เพื่อให้การปฏิบัติข้อตกลงลับ (ผลประโยชน์) น้ำมันเป็นไปอย่างราบรื่น ทักษิณได้ให้สัญญากับฮุนเซน จะให้รัฐบาลกัมพูชากระทำตามความพอใจกับปราสาทพระวิหาร รวมทั้งการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับองค์การยูเนสโก้ สำนักข่าวเดียวกันกล่าวในข่าวกรองอีกชิ้นหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่ของไทยที่ตั้งขึ้นหลังจากทักษิณตกจากอำนาจในปลายปี 2549 ได้ตัดสินใจที่จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงลับและเป็นการส่วนตัวระหว่างทักษิณกับฮุนเซน
เหตุการณ์ต่างๆ ที่ชายแดนเกิดขึ้นในปี 2551 เมื่อฮุนเซนพยายามปลุกกระแสชาตินิยมเขมรให้ลุกลามในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้าการเลือกตั้งกัมพูชาในเดือน ส.ค. ทำให้ทางการไทยตอบโต้ด้วยการปลุกกระแสชาตินิยมของตัวเองบ้าง KI-Media ระบุ
สำนักข่าวแห่งนี้รายงานในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาว่า นช.ทักษิณ ได้โอนสัญชาติเป็นพลเมืองกัมพูชาแล้ว ซึ่งทำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกรุงพนมเปญรีบออกปฏิเสธพัลวัล
กรณีดังกล่าวนับว่ามีเค้าความจริงอยู่บ้าง ในช่วงที่ นช.ทักษิณ เดินทางเข้ากัมพูชาครั้งแรกในเดือน พ.ย.2552 และมีการจับกุมวิศวกรบริษัทควบคุมการบินชาวไทยฐาน “จารกรรม” ล้วงความลับเที่ยวบินของทักษิณนั้นหนังสือพิมพ์ในกัมพูชาบางฉบับได้อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ระบุว่า ทักษิณ เข้ากัมพูชาโดยใช้หนังสือเดินทางที่รัฐบาลกัมพูชาออกให้ ซึ่งถือเป็นพลเมืองกัมพูชาและจะทำให้วิศวกรไทยคนดังกล่าวต้องรับโทษอย่างหนัก
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รัฐบาลฮุนเซนเคยให้ฐานะพลเมืองกิตติมศักดิ์แก่บุคคลสำคัญจำนวนหนึ่ง รวมทั้งแองเจลินา โจลี ดารานักแสดงฮอลลีวูด ที่มีศักดิ์และสิทธิ์เท่าเทียมกับชาวเขมรที่อาศัยอยู่ในประเทศทุกประการ รวมทั้งถือหนังสือเดินทางของกัมพูชาอีกด้วย
เคยมีหลายกรณีที่ “ข่าวกรอง” ของ KI-Media กลายเป็นความจริง รวมทั้งกรณีนายเท่ง บุญมา นักธุรกิจใหญ่ที่ขัดแย้งผลประโยชน์กับผู้นำระดับสูงในรัฐบาลหายตัวไปอย่างลึกลับในช่วงปี 2550 สำนักข่าวแห่งนี้รายงานว่า นายบุญมา “โดนอุ้ม” โดยคนมีสี ก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ
ทั้งหมดกลายเป็นความจริงในเวลาต่อมา