ASTVผู้จัดการออนไลน์-- รัฐบาลฮุนเซนมืดบอด ศาลจังหวัดสวายเรียง (Svay Rieng) ไม่รับฟังและไม่ยอมรับหลักฐานใดๆ ในการไต่สวน และได้พิพากษาเมื่อวันพุธ (27 ม.ค.) นี้ให้จำคุกนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านเป็นเวลา 2 ปี ในกรณีนำราษฎรถอนหลักหมุดปักปันเขตแดนที่ฝ่ายเวียดนาม ปักลงในนาข้าวของชาวบ้าน อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.2552
การไต่ส่วนและอ่านคำพิพากษามีขึ้น ในขณะที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้านยังคงลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เขายังถูกศาลสั่งปรับเป็นเงินอีกกว่า 12,000 ดอลลาร์
คราวเดียวกันนี้ศาลยังตัดสินจำคุกราษฎรในท้องถิ่นอีก 2 คน ซึ่งเป็นเจ้าของที่นา คือ นายพรุมเจีย (Prum Chea) อายุ 41 ปี กับนางมาศศรี (Meas Srey) วัย 39 ปี ด้วยความผิดเดียวกัน บุคคลทั้งสอง ยังถูกสั่งปรับร่วมกันอีก 1,250 ดอลลาร์ ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์ดืมอัลปึล ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล
การถูกตัดสินโทษจำคุกกำลังจะทำให้นายรังสีพ้นสภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และหมดบทบาททางการในรัฐสภาไป กัมพูชาจะไม่มีผู้นำฝ่ายค้านที่แข็งขันและกล้าต่อกรกับนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ที่อยู่ในอำนาจมานาน 24 ปี
การพิพากษาดังกล่าวเป็นที่คาดเอาไว้ล่วงหน้า และมีขึ้นขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ แสดงคงวามวิตกกังวลว่า รัฐบาลฮุนเซนกำลังจะใช้กฎหมายและระบบศาลที่อยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาล ในการกำจัดฝ่ายค้านและคู่แข่งอื่นๆ ให้หมดไปจากเวทีการเมือง
"การตัดสินใจดังกล่าวเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกอย่างตัดสินล่วงหน้าเอาไว้ทั้งหมด และ ศาลก็แสดงได้สมจริง" นายลองรี (Long Ry) สส.พรรคสมรังสี ให้ความเห็นหลังมีการพิพากาษาในตอนบ่ายวันเดียวกัน
นายสมสุกง (Sam Sokong) ทนายความฝ่ายจำเลยกล่าวว่า ศาลไม่ยอมรับหลักฐานเอกสารใดๆ ประกอบการพิจารณาคดี โดยอ้างว่า นายรังสีกระทำความผิดตามกฎหมายความมั่นคง ที่จัดทำโดยองค์การปกครองชั่วคราวแห่งสหประชาชาติหรือ UNTAC เมื่อก่อนนี้
"ผมไม่สามารถยอมรับคำตัดสินได้ เพราะว่าไม่มีการรับหลักฐานและข้อพิสูจน์ใดๆ ไปใช้ในการพิจารณาคดีด้วย" นายสุกง กล่าวกับหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์วันเดียวกัน
แต่นายฟายสีฟาน (Phay Siphan) โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ใครๆ ก็สามารถมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่ศาลดำเนินการตามกฎหมาย.. "เราใช้กฎหมายอยู่ฉบับเดียวกัน"
วันอาทิตย์ (24 ม.ค.) ที่ผ่านมาด้วยความช่วยเหลือของนักวิชาการประวัติศาสตร์และบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาชายแดนในฝรั่งเศส พรรคสมรังสี ได้นำหลักฐานชิ้นสำคัญออกเผยแพร่ยืนยันว่า ฝ่ายเวียดนามปักหลักหมุดเขตแดนล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชา ทางด้าน จ.สวายเรียง ซึ่งนายรังสีนำราษฎรถอนออกไปจากนาข้าวของพวกเขา
หลักฐานที่ผู้นำฝ่ายค้านนำขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ ประกอบด้วยแผนที่ฝรั่งเศสซึ่งทำขึ้นในสมัยอาณานิคม แผนที่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในยุคใหม่ แผนที่จัดทำขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีจีพีเอส (GPS) ตลอดจนแผนที่ที่ศาล จ.สวายเรียงจัดร่างเอง เพื่อใช้ประกอบการพิจาณาคดี รวมทั้งรูปถ่ายจากสถานที่จริงอีกจำนวนมาก ทั้งหมดยืนยันว่า ฝ่ายเวียดนามได้ปักหลักหมุดเขตแดนหลักที่ 164-167 ลึกเข้ามาในดินแดนกัมพูชา
วันอังคารที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ระดับล่างของฝ่ายรัฐบาลคนหนึ่งได้ออกตอบโต้ฝ่ายค้าน ระบุแต่เพียงว่าเอกสารทั้งหมดที่นายรังสีนำออกแสดงนั้นเป็น "ของปลอม" แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก
อย่างไรก็ตามในรายงานประจำปีของคณะกรรมาธิการชายแดน หรือ CDC (Cambodian Border Commission) ที่เผยแพร่ในวันที่ 30 ธ.ค.2552 ได้ระบุชัดเจนว่า ปัญหาสำคัญที่ชายแดนด้านตะวันออกก็คือ การที่ฝ่ายเวียดนามขุดคลองขึ้นมาโดยไม่ตรงแนวเขตแดนที่แท้จริง ซึ่งทำให้ราษฎรในพื้นที่แถบนั้นจะต้องยึดถือเอาเป็นเส้นเขตแบ่งเขตแดน
หลักฐานต่างๆ ที่นายรังสีนำออกเผยแพร่ล้วนแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะยึดลำคลองที่เวียดนามขุดในปี 2522 หลังส่งกองทัพมหึมาเข้ายึดครองกัมพูชา เป็นเส้นเขตแดน หลักหมุดปักปันเขตแดนทั้ง 4 หลัก ก็ยังอยู่ลึกเข้ามาในดินแดนกัมพูชาตั้งแต่ 100-500 เมตร
ตามรายงานของ CDC การปักปันเขตแดนกับเวียดนามดำเนินการไปตามสนธิสัญญาชายแดนระหว่างสองประเทศที่เซ็นกันในปี 2528 (ขณะที่ทหารเวียดนามนับแสนคนยังประจำอยู่ในกัมพูชา) กับสนธิสัญญาชายแดนแดนฉบับเพิ่มเติมที่เซ็นกันเมื่อปี 2548 เกี่ยวกับพรมแดนและปักปันเขตแดน ซึงระบุให้เลิกใช้แผนที่มาตรส่วน 1:100,000 ภายใต้สนธิสัญญากรุงบอนน์และ ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่สองฝ่ายจัดทำขึ้นใหม่ภายใต้สนธิสัญญาปี 2528
จะเห็นได้ว่าภายใต้สนธิสัญญาเขตแดนปี 2528 กัมพูชาได้สูญเสียดินแดนให้แก่เวียดนามไปอย่างมหาศาล แต่รัฐบาลฮุนเซนที่อยู่ในอำนาจมา 24 ปีไม่เคยปริปากพูดถึงเรื่องนี้และใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนออกจากปัญหาชายแดนทางทิศตะวันออก
ตามรายงานดังกล่าว คณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา-เวียดนาม ตกลงจะปักหลักแบ่งเขตแดนรวมทั้งหมด 375 หลัก และ จนถึงสิ้นปี 2552 สองฝ่ายได้กำหนดจุดที่ตั้งหลักเขตแดนได้ทั้งหมด 229 หลัก คิดเป็น 73% ของหลักเขตแดนทั้งหมดที่จะต้องปักปัน และในปีนี้ 2553 มีจะกำหนดจุดปักปันเขตแดนให้ได้อีก 13%
จนถึงปัจจุบันมีการปักหลักเขตแดนที่ชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม เสร็จแล้วทั้งหมด 160 หลัก (43%) สองฝ่ายกำหนดปักปันเขตแดนตามจุดผ่านแดนและด่านชายแดนต่างๆ ให้แล้วเสร็จก่อนอื่น ตั้งแต่ด่านแปร็กจัก (Prak Chak) ชายแดน จ.แก๊บ (Kep) ที่อยู่ใต้สุด ไปจนถึงด่านชายแดนที่อยู่บนสุด ใน จ.รัตนคีรี (Rattanakiri).