ASTVผู้จัดการออนไลน์/RFA - เจ้าหน้าที่ในกัมพูชายังคงนับศพต่อไป แม้ว่าพายุเกดสะหนา (Ketsana) จะผ่านไปตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.แล้วก็ตาม แต่ได้ทิ้งความเสียหายเอาไว้ในดินแดนที่ห่างไกลในกัมพูชาอย่างสุดคณานับ
วันอังคาร (6 ต.ค.) ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 คนใน จ.รัตนคีรี (Ratanakiri) และ ชาวบ้านยังกล่าวว่า มีลูกบ้านเดียวกันคนหนึ่งถูกกระแสน้ำพัดพาไปเมื่อวันที่ 29 ก.ย. และยังหาตัวไม่พบจนบัดนี้
ตัวเลขใหม่นี้จะทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเนื่องจากพายุเกดสะหนาเพิ่มขึ้นเป็น 20 หรือ 21 ขณะที่การค้นหายังดำเนินต่อไป ยังไม่มีการเปลี่ยนจำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นทางการในขณะนี้
ผู้เสียชีวิต 17 คนแรกพบใน จ.กัมปงธม (Kampong Thom) ในเขตที่ราบภาคกลาง ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงพนมเปญขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 230 กม. ส่วนใหญ่เสียชีวิตเนื่องจากถูกบ้านเรือนพังทับ อันเกิดจากพายุในคืนวันที่ 29 ก.ย. เจ้าหน้าที่กล่าว
ที่ จ.สตึงแตรง (Stung Treng) ติดกับชายแดนลาว ยังไม่พบผู้เสียชีวิต แต่นาข้าวที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวกว่า 3,000 เฮกตาร์ (18,750 ไร่) ของราษฎรในท้องถิ่นถูกน้ำท่วม ราว 95% เสียหายไม่สามารถเก็บกู้ได้ ซึ่งจะทำให้หลายท้องถิ่นในจังหวัดจะขาดแคลนข้าวบริโภคในฤดูที่จะถึง
นายลอย สุฟัต (Loy Sophat) ผู้ว่าราชการจังหวัดสตึงแตรง ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุเอเชียเสรีภาคภาษาเขมรในวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า มีบ้านเรือนของราษฎรใน 81 หมู่บ้าน จังหวัดถูกน้ำท่วม เนื่องจาก “น้ำเอ่อขึ้นเร็วมากในช่วงสองสามวันมานี้..”
น้ำจากลำน้ำเซกอง (Sekong) เซซาน (Sesan) กับลำน้ำเสรป๊อก (Sre Pok) เริ่มเอ่อขึ้นท่วมไร่นาและบ้านเรือนราษฎรกว่า 3,000 ครอบครัว ใน จ.รัตนคีรี ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.เป็นต้นมา ทั้งหมดไหลลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งได้ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักสูงขึ้นไปด้วย
สตึงแตรง เป็นช่วงต่อที่แม่น้ำโขงไหลมาจากตอนใต้ของลาว ก่อนจะไหลไปผ่าน จ.กระแจ๊ะ (Kratie) และ กรุงพนมเปญ ซึ่งกำลังจะทำให้เมืองที่อยู่ใต้ลงไปได้รับความเดือดร้อน
นายเทบ บุณฤทธิ์ (Tep Bunnaridh) ผู้อำนวยการองค์การพิทักษ์สภาพแวดล้อมแห่งหนึ่งในสตึงแตรงกล่าวว่า สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดอุทกภัยครั้งนี้ เนื่องจากเขื่อนผลิตไฟฟ้าต่างๆ ของนักลงทุนเวียดนามที่ตั้งอยู่ใน จ.รัตนคีรี ได้ปล่อยน้ำลงสู่ลำน้ำต่างๆ ทำให้บ้านเรือน ราษฎรกว่า 7,000 ครอบครัวในจังหวัดนี้ถูกน้ำท่วม