ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน ได้เปิดเผยเรื่องราวอันน่าระทึกใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดในค่ำวันอาทิตย์ (28 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ระบุว่าจรวดหลายลูกกระเด็นกระดอนเข้าไปในบริเวณบ้าน และมีอีกลูกหนึ่งปักทะลุคาต้นมะพร้าว แต่เคราะห์ดีที่หัวรบไม่ระเบิด
นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาตกเย็น เกิดจากสาเหตุที่เป็นทั้งอุบัติเหตุและความประมาทของบุคคลที่เกี่ยวข้อง นั่นคือทหารหน่วยองครักษ์ผู้นำ ไปขอจุดบุหรี่กับทหารพลขับรถบรรทุกจรวดใกล้ถังน้ำมันที่เกิดรั่ว ทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นมาและลามไปถึงจรวดที่ติดตั้งบนรถ ผู้นำกัมพูชาเล่าเรื่องนี้ระหว่างเป็นประธานพิธีประสาทปริญญาบัตรแก่บัณฑิตใหม่ มหาวิทยาลัยนอร์ตัน (Norton University) ในวันอังคาร (30 มิ.ย.) หรือสองวันหลังเกิดเหตุ
นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดของจรวด 29 ลูก ในค่ายตวลกระแซง (Tuol Krasaing) ซึ่งตั้งอยู่ในเขต อ.ตาเขมา (Takhmao) จ.กันดาล (Kandal) อยู่ห่างกรุงพนมเปญราว 20 กม. ผู้นำกัมพูชาและครอบครัวพำนักในค่ายทหารแห่งนั้น
“แต่มัน (หัวรบ) ไม่ระเบิด มีเพียงลำจรวดเท่านั้นที่ลุกไหม้และเกิดระเบิด” หนังสือพิมพ์กัมโบดจ์ซวาร์ (Cambodge Soir Hebdo) อ้างคำกล่าวของสมเด็จฯ ฮุนเซน ซึ่งยังกล่าวเป็นนัยด้วยว่า จรวดทั้งหมดกำลังจะขนไปยังชายแดนด้านเขาพระวิหาร
จรวดกระเด็นข้ามหลังคาบ้านไปหลายนัด ต้นมะพร้าวเสียหายไปหลายต้น และมีอยู่หนึ่งต้นที่มีจรวดฝังอยู่แต่ไม่ระเบิด ไม่เช่นนั้นจะสร้างความเสียหายมากกว่านี้หลายเท่า และอาจจะทำให้บ้านพังทั้งหลัง ผู้นำกัมพูชากล่าว
สมเด็จฯ ฮุนเซนกล่าวอีกว่า ตอนเกิดเหตุกำลังเล่นหมากรุกอยู่นอกบ้าน หลานร้องไห้ด้วยความตกใจ วิ่งเข้าไปหา ตนจึงได้กอดหลานเอาไว้ หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม ทหารองครักษ์จึงได้บอกว่า ห้ามเข้าไปในบ้าน “แต่ผมไม่กลัว เพราะผมเป็นนักรบ”
เสียงระเบิดได้ทำให้ผู้คนในละแวกนั้นแตกตื่นตกใจ และในคืนนั้นรัฐบาลได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่งทางวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐ แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ และนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขออภัยต่อบรรดาเพื่อนบ้านใกล้เคียงเกี่ยวกับ “ความอลหม่าน” ที่เกิดขึ้น
ผู้นำกัมพูชากล่าวว่า จรวดเหล่านั้นกำลังจะถูกนำไปประจำการที่ชายแดนด้านรพระวิหาร ซึ่ง “มันเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งที่ประเทศหนึ่งที่กำลังมีปัญหาที่ชายแดนกับเพื่อนบ้านแห่งหนึ่งจะต้องเตรียมพร้อมในการป้องกันเขตแดนของตน”
“เรามีจรวดแบบนี้ตั้งแต่นานแล้ว ไม่ใช่ของใหม่” หนังสือพิมพ์รัศมีกัมพูชา (Reasmei Kampuchea) อ้างคำกล่าวของผู้นำ ซึ่งหมายถึงจรวดอเนกประสงค์ที่ใช้ในการโจมตีทำลายทั้งกำลังพลรถลำเลียงพล รถถัง หรือ กระทั่งอากาศยานข้าศึก
ตามรายงานของรัศมีกัมพูชา สมเด็จฯ ฮุนเซนกล่าวว่า ไม่อยากจะโอ้อวด แต่จรวด BM-21 (GRAD) ขนาด 122 มม. ของรัสเซีย แต่ละลูกราคาตก 3,000 ดอลลาร์ เป็นเพียงจรวดขนาดกลางๆ เท่านั้น
“เรายังมีใหญ่กว่านี้” และจรวดที่เสียหายไปเนื่องจากอุบัติเหตุครั้งนี้ก็เป็นเพียงประมาณ 1% ของจำนวนที่กองทัพมีอยู่ทั้งหมด นายกฯ กัมพูชากล่าว
สมเด็จฯ ฮุนเซนยังได้วิจารณ์โทรทัศน์ออนไลน์ “แชนแนลนิวส์เอเชีย” ของสิงคโปร์ที่รายงานว่า มีการหารือเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารระหว่างนายสุเทพ กับ พล.อ.ประวิตรไปเยือน ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่ยอมรับว่าได้มีการหารือเรื่องอื่นๆ อีกมาก เช่นเกี่ยวกับเขตน่านน้ำที่เหลื่อมล้ำกันในอ่าวไทย รวมทั้งปัญหาตามแนวชายแดนสองประเทศ ซึ่งจะต้องลดความตึงเครียดและการเผชิญหน้าลง
“ผมไม่ยอมเสียเวลาแม้สักนาทีเดียวที่จะบอกให้ไทยถอนทหารออกจากกัมพูชา เป็นเรื่องจริงผมได้บอกกับพวกเขาจริงๆ ถ้าหากผมลืมประเด็นสำคัญนี้ก็เท่ากับว่าผมลืมประเทศกัมพูชา” รัศมีกัมพูชาอ้างคำกล่าวของผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศ
สมเด็จฯ ฮุนเซนเปิดเผยในคราวเดียวกันนี้ว่า ได้เตือนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหมของไทยระหว่างพบหารือที่บ้านพักตาเขมาในวันเสาร์ (ก่อนเหตุการณ์ระเบิด 1 วัน) ให้ระวังเครื่องบินของไทยล้ำแดน ซึ่งอาจจะถูกทหารในท้องถิ่นยิงตก
นอกจากนั้น ในคราวเดียวกันยังได้แจ้งให้ฝ่ายไทยทราบว่า ถ้าหากคิดจะบุกยึดครองปราสาทพระวิหาร ก็จะต้องใช้ทหาร 35,000-50,000 นายสู้รบกับทหารกัมพูชาเพียง 10,000 นายแต่เป็นทหารที่กรำศึกมาโชกโชน