เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ประกาศในกรุงพนมเปญ พร้อมพบกับฝ่ายไทยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร บนเวทีระหว่างประเทศ หรือการเจรจาอย่างสันติ ขณะที่ นายกรัฐมนตรีไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังคงยืนยัน จะแจ้งไปยังคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อให้ทบทวนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่เพียงฝ่ายเดียวของกัมพูชา
การเปิดประเด็นของฝ่ายไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความไม่พอใจให้แก่กัมพูชา ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว สมเด็จฯอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ความริเริ่มของผู้นำไทยอย่างเผ็ดร้อน
หลังรัฐบาลในกรุงพนมเปญ ยื่นขอจดทะเบียนในเดือน ก.ค.2551 ได้นำไปสู่ความตึงเครียดขึ้นที่ชายแดนด้านเขาพระวิหาร และนำไปสู่การปะทะระหว่างกองกำลังสองฝ่ายในเดือน ต.ค. ซึ่งทหารกัมพูชาเสียชีวิต 3 และทหารไทย อีก 1 ความตึงเครียดรอบใหม่นำไปสู่การปะทะอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 3 เม.ย.ปีนี้ ซึ่งทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 2 นาย และทำให้ตลาดชายแดนที่ทางขึ้นปราสาททางฝั่งไทยถูกยิงถล่มพังทลายราบ
นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลอีกครั้งหนึ่งในการออกรายการพบประชาชนทางโทรทัศน์ตอนเช้าวันอาทิตย์ (21 มิ.ย.) นี้ โดยให้เหตุผลว่า ผืนดินรอบๆ ปราสาทเป็นดินแดนในพิพาทระหว่างสองประเทศ
ส่วนฝ่ายกัมพูชาออกโรงวิจารณ์ท่าทีของรัฐบาลไทยอย่างหนักอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันเสาร์ (20 มิ.ย.) ระบุว่า หากจำเป็นทหารกัมพูชาก็พร้อมที่จะป้องกันอธิปไตยของประเทศ
นายฮอร์นัมฮง (Hor Nam Hong) รัฐมนตรีต่างประเทศวัย 72 ปีของกัมพูชา กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า ประเทศของเขา “ยินดีต้อนรับประเทศไทย ทั้งทางการทหาร การทูต การระหว่างประเทศ หรือผ่านการเจรจาอย่างสันติ” ทั้งนี้ เป็นรายงานของสำนักข่าวเอเอฟพี
“(แต่) มัน (การปะทะชายแดน) เกิดมาแล้ว 2 ครั้ง... (ดังนั้น) ถ้าหากพวกเขาอยากจะส่งทหารเข้ามากัมพูชาอีกเป็นหนที่สาม เราก็จะต้อนรับพวกเขาด้วยเหมือนกัน” เอเอฟพี อ้างคำกล่าวของ รมว.ต่างประเทศฝีปากกล้า ให้สัมภาษณ์ในกรุงพนมเปญ
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ดืมอัมปึล (Deum Ampil) สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้แสดงท่าทีอย่างแข็งกร้าวต่อความริเริ่มของผู้นำไทย
นรม.กัมพูชา กล่าวว่า การเรียกร้องของไทยจะไม่มีทางสำเร็จ เนื่องจาก UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว พร้อมทั้งกล่าวอ้างอีกว่า ศาลระหว่างประเทศกรุงเฮก ยังได้ตัดสิน “ยกดินแดนรอบๆ ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา” ด้วย
สมเด็จฯฮุนเซน ระบุดังกล่าวในการให้สัมภาษณ์หลังเสร็จจากการต้อนรับการเข้าเยี่ยมคำนับและหารือของ นายสุรยา สุเบดี (Surya Subedi) ผู้แทนองค์การสหประชาชาติฝ่ายกิจการสิทธิมนุษยชนประจำกัมพูชา ที่กระทรวงการต่างประเทศ วันพฤหัสบดี (18 มิ.ย.)
“ผมเชื่อว่า มันเป็นคำพูดของนายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่ง ที่รบกวนอำนาจอธิปไตยของอีกประเทศหนึ่ง ผมเสียใจที่ได้ยินการแสดงความเห็นและเป้าหมายของเขา (เช่นนั้น) แต่ตอนที่มาเยือนกัมพูชา เขาไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับผม แต่ผมก็เชื่อว่าเป้าหมายของเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ” หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันอ้างคำกล่าวของผู้นำกัมพูชาที่อยู่ในอำนาจมา 24 ปี
สมเด็จฯ ฮุนเซน กล่าวอีกว่า “ประเด็นหลักนั้นเกี่ยวกับการตัดสินของศาลกรุงเฮก ซึ่งได้ให้ปราสาทพระวิหาร กับอาณาบริเวณโดยรอบแก่กัมพูชา นี่คือประเด็นแรก และประเด็นที่สอง ก็คือ ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว”
“ไม่ว่าเขาจะมีความเรียกร้องต้องการให้มีการทบทวนอย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงความคิดเห็นของเขา และผมหวังว่า ยูเนสโกคงจะไม่บอดใบ้พอที่จะกระทำตามความทะเยอทะยานของนายอภิสิทธิ์”
นายอภิสิทธิ์ ที่กลับจากการเยือนกรุงพนมเปญอย่างเป็นทางการสัปดาห์ที่แล้ว ในความพยายามหาทางแก้ไขปัญหาชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ ได้กล่าวว่า การกระทำขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO เป็นต้นตอที่จะต้องกล่าวหา เนื่องจากทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมา
“เราเป็นห่วงว่าความเคลื่อนไหวของยูเนสโก อาจจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น” นายอภิสิทธิ์ ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าว ทั้งยังระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปกัมพูชาในเร็วๆ นี้ เพื่ออธิบายจุดยืนของไทย ซึ่งฝ่ายไทยเชื่อว่า ปัญหาชายแดนจะสามารถแก้ไขได้ด้วยสันติวิธี
แม้ศาลระหว่างประเทศกรุงเฮก จะได้ตัดสินในปี 2505 ให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา แต่อาณาบริเวณโดยรอบโดยส่วนใหญ่ รวมทั้งบันได้หินทางขึ้นล้วนอยู่ทางฝั่งไทย
ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยในอดีตจะเคยแถลงว่า ยอมรับในคำตัดสิน แต่ก็ได้ทำบันทึกเป็นหลักฐาน แจ้งต่อศาลโลกกรุงเฮก ยืนยันในอธิปไตยของไทยเหนืออาณาบริเวณโดยรอบปราสาท ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ราว 4.5 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากเป็นดินแดนในเขตสันปันน้ำของไทย ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เอกสารทางประวัติศาสตร์ ได้ยืนยันว่า ศาลโลกไม่ได้มีคำตัดสินชี้ขาดใดๆ เกี่ยวกับที่ดินอาณาบริเวณดังกล่าว ขณะที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้างสิทธิ์ โดยใช้แผนที่อัตราส่วน 1:250,000 ที่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส จัดทำขึ้นเมื่อกว่า 100 ปีก่อน
แผนที่ที่จัดทำขึ้นในยุคใหม่ล้วนแสดงให้เห็นเส้นพรมแดนตามหลักสันปันน้ำ ทำให้เห็นว่า ดินแดนโดยรอบปราสาทประวิหารอยู่ในอำนาจอธิปไตยของไทย
ยังไม่เคยมีการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา อย่างชัดเจน ตลอดหลายทศวรรษมานี้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากสงครามในกัมพูชา และปัญหากับระเบิดที่วางตามแนวชายแดนสองประเทศ ตั้งแต่ครั้งสงคราม