ฮานอย (เอเอฟพี) -- วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันแห่งรัฐอะริโซนา นายจอห์น แมคเคน ไปเยือนเวียดนามอีกครั้งหนึ่งในวันอังคาร (7 มี.ค.) และเรียกร้องให้สองประเทศเดินหน้าพัฒนาสัมพันธ์สองฝ่ายต่อไป ขณะที่กำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ และยังเรียกร้องให้สองประเทศที่เคยทำสงครามกันเป็นเวลากว่า 20 ปี พัฒนาความสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่างกันด้วย
นายแมคเคน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมวุฒิสภาระบุดังกล่าวระหว่างแถลงข่าวในกรุงฮานอย ก่อนหน้านั้น ได้แวะเยือนฮ่องกง และกำลังจะเดินทางต่อไปเยือนจีน
วุฒิสมาชิกที่มีอิทธิพลผู้นี้ปราศรัยต่อการชุมนุมที่จัดโดยสมาคมทูตานุทูตกรุงฮานอย กล่าวว่าสองประเทศจะต้องไม่กลับไปสู่ความโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจตามที่มีเสียงเรียกร้อง “ต้องก้าวต่อไปไม่ใช่ถอยหลัง” ขยายความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน ขยายความสัมพันธ์นี้เข้าสู่กลุ่มอาเซียนทั้งมวล เขาจบประโยคลงท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง
วุฒิสมาชิกแมคเคน ได้กลับไปเยือนเวียดนามหลายครั้ง นับตั้งแต่สงครามเวียดนามยุติลงกว่า 30 ปีก่อน ซึ่งในช่วงนั้น
ในปี 2510 นาวาอากาศโทหนุ่มนักบินแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกยิงเหนือท้องฟ้ากรุงฮานอย เครื่องบินของเขาตกลงในบึงน้ำแห่งหนึ่ง และถูกคุมขังในเรือนจำกลางที่เรียกกันว่า “ฮานอยฮิลตัน” เป็นเวลา 5 ปีครึ่ง ผู้ที่เคยช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นจากการถูกรุมประชาทัณฑ์หลายคนยังมีชีวิตอยู่
นายแมคเคน ซึ่งปัจจุบันอายุ 72 ปี พ่ายแพ้แก่ นายบารัค โอบาม่า ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปลายปีที่แล้วกล่าวว่า เวียดนามกับสหรัฐฯ ควรจะกระชับความสัมพันธ์ทางกลาโหมให้แน่นแฟ้น พร้อมๆ กับขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่อไป โดยอาศัยช่วงเวลาที่การพัฒนาเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนทิศทางจากตะวันตก มายังภูมิภาคเอเชีย
“ถึงเวลาที่จะก้าวต่อไปอีกขั้นหนึ่ง” นายแมคเคน กล่าว
สงครามเวียดนามยุติลงในปี 2518 และฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือได้รวมสองประเทศเหนือ-ใต้เข้าด้วยกันในปีถัดมา แต่สหรัฐฯกับเวียดนามยังไม่ได้ปรับความสัมพันธ์ต่อกันให้เป็นปกติจนกระทั่งอีก 20 ปีต่อมาในปี 2538
และกว่าจะมีการปรับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกันก็จนกระทั่งปี 2549 ซึ่งเวียดนามเริ่มสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
ปีที่แล้วเวียดนามเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์สิ่งทอเข้าตลาดสหรัฐฯ มากเป็นอันดับสองรองจากจีน และ สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของเวียดนาม รองลงไปเป็นสหภาพยุโรป
วุฒิสมาชิกแมคเคน ยังเรียกร้องให้เวียดนามและสหรัฐฯ เจรจาเพื่อทำสนธิสัญญาการค้าทวิภาคีให้ลุล่วงโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม “ผมเชื่อว่าเวียดนามมีโอกาสที่จะขยายความสำเร็จขั้นตอนต่อไป โดยการสร้างความคืบหน้าในการขอบเขตการเมืองและสังคม”
เขาบอกกับผู้ฟังว่าเวียดนามควรจะขยายสิทธิในการแสดงความคิดเห็น เพิ่มสิทธิในการเคลื่อนไหวทางการเมืองแก่พลเมือง ตลอดจนปล่อยผู้คนที่ถูกคุมขัง อันเนื่องมาจากได้แสดงความเห็นอย่างสันติ และปรับปรุงสิทธิมนุษยชนโดยทั่วไปอีกด้วย
“การเปลี่ยนแปลง.. จะกลายเป็นแรงเหวี่ยงสำคัญทางประวัติศาสตร์” นายแมคเคน กล่าว
สงครามในช่วงทศวรรษที่ 1950-1980 ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตกว่า 58,000 คน และชาวเวียดนามล้มตายกว่า 3 ล้านคน
ปัจจุบันการชดเชยและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมจากการปล่อยสารเคมีของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามยังเป็นประเด็นเปราะบางในความสัมพันธ์สองประเทศนี้