ASTVผู้จัดการรายวัน-- เวียดนามยอมรับปี 2551 ปัญหาประชากรเริ่มเข้าขั้นระอุ เป็นปียุ่งยากที่สุดของการวางแผนครอบครัวซึ่งทำให้พลาดเป้าหมายสำคัญหลายประการ มีอัตราการเกิดสูงขึ้นขณะเดียวกันความไม่สมดุลด้านเพศของประชากรก็แตกต่างกันมาก ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขในอีกหลายปีข้างหน้าก็อาจจะมีประชากรชายราวสามล้านคนหาคู่ครองไม่ได้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายเหวียนบาทวี (Nguyen Ba Thuy) ซึ่งกำกับดูแลกรมใหญ่ประชากรและการวางแผนครอบครัว (General Department on Population and Family Planning) กล่าวว่า อัตราการเกิดกับความไม่สมดุลทางเพศกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในขณะนี้
สถิติที่เผยแพร่ในเดือน ก.ย. ได้เปิดเผยให้เห็นตัวเลขสำคัญๆ เช่น รัฐบาลสามารถลดอัตราการเกิดลงได้เพียง 0.1% จากเป้าหมาย 0.3% ขณะที่การเกิดของทารกคนที่สามของครอบครัวเพิ่มขึ้น และ เชื่อว่าปีนี้ทั้งปีจะมีทารกเกิดใหม่อีก 143,000 คน
มีหลายปัจจัยที่ทำให้การควบคุมจำนวนประชากรกับการวางแผนครอบครัวไม่ประสบความสำเร็จ ดังจะเห็นได้จากการใช้คุมกำเนิดที่ลดลงถึง 20% ในปีนี้
สถิติยังชี้ให้เห็นความไม่สมดุลทางเพศของทารกเกิดใหม่ซึ่งเมื่อปีที่แล้วมีเพศชายคิดเป็น 112 คนต่อเพศหญิง 100 คน เพิ่มขึ้นอย่างมากเทียบกับปี 2549 ซึ่งอัตราส่วนยังเป็น 107 ต่อ 100
ทางการกล่าวว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดจากความกดดันทางจิตวิทยาที่ต้องงการให้คู่สมรสให้กำเนิดทารกเพศชาย เพื่อสืบวงศ์สกุลของครอบครัวนอกจากนั้นเวียดนามซึ่งประชากรเกือบ 2 ใน 3 มีอายุต่ำกว่า 35 ปี ยังมีจำนวนประชากรหญิงวัยเจริญพันธุ์เพิ่มมากขึ้นทุกปี
ในปีนี้รัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาด้านประชากรด้วยการออกกฎหมายกับมาตรการหลายอย่าง เพื่อลดอัตราการเกิดลงให้ได้ 0.2% ในปี 2552 รัฐมนตรีคนเดียวกันกล่าว
ตามรายงานของสำนักข่าวทางการเวียดนามวีเอ็นเอ (VNA) อัตราการเกิดของประชากรในปี 2550 ได้ลดลงจาก 1.51%ในปี 2542 และ 3.93% ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1960 ซึ่งเคยทำให้เวียดนามได้รับรางวัลยกย่องจากองค์การสหประชาชาติ ในความพยายามลดจำนวนประชากรในช่วง 50 ปี
ผู้เชี่ยวชาญได้ออกเตือนอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์นี้ให้สังคมเห็นปัญหาที่จะติดตามมาจากความไม่สมดุลระหว่างประชากรสองเพศ รวมทั้งปัญหาความปั่นป่วนสังคมโดยทั่วไป กับปัญหาเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเพศด้วย
นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านประชากรศาสตร์ประชุมในกรุงฮานอยวันจันทร์ (22 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ระดมความรู้และความคิดหาทางสร้างความสมดุลให้ได้ งานนี้จัดโดยกรมใหญ่ประชากรฯ
ตามตัวเลขทางการ อัตราส่วนประชาชายต่อหญิงได้เพิ่มขึ้นจาก 105 ต่อ 107 มาเป็น 112:100 ในช่วงปี 2542-2550 นับเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง เพราะว่าสูงกว่าอัตราเฉลี่ยตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น 103-106: 100
อัตรา 112:100 ดังกล่าวเท่ากับอัตราที่เคยเกิดขึ้นในประชากรของจีนซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2530 และ มีการประมาณกันเมื่อปี 2547 ว่าภายในแปดหรือสิบปีข้างหน้าในแผ่นดินใหญ่จีนจะมี ประชากรหญิง "ที่ขาดหายไป” ระหว่าง 40-60 ล้านคน"
นายฟัมบาเญิต (Pham Ba Nhat) เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งกล่าวว่า ความไม่สมดุลระหว่างประชากรสองเพศเกิดจากค่านิยมดั้งเดิมของครอบครัวต่างๆ ในสังคมเกษตรกรรมเช่นเวียดนาม ที่ต้องการลูกชายมากกว่าลูกสาวเพื่อให้เป็นแรงงานหลักของครอบครัวสืบแทนรุ่นพ่อรุ่นแม่
นอกจากนั้นการแพทย์ยุคใหม่ยังทำให้สามารถทราบเพศทารกล่วงหน้า ซึ่งได้นำไปสู่การลักลอบทำแท้งหากพบว่าเป็นทารกในครรภ์เป็นเพศที่ไม่พึงประสงค์
รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศใช้นโยบาย "ลูกสองคน" ในช่วงหลายปีมานี้และออกกฎหมายให้ครอบครัวต่างๆ มีลูกได้ 2 คนเป็นอย่างมาก แต่ราษฎรในหลายท้องถิ่นยังคงหาทางหลีกเลี่ยง เช่นเมื่อทารกเพศหญิงเกิดมาก็จะ “ยก” ให้แก่ผู้อื่น เพื่อจะมีสิทธิ์ให้กำเนิดทารกได้อีก
ศาสตราจารย์เหวียนดึ๊กวี (Nguyen Duc Vy) แห่งโรงพยาบาลกุมารเวชศาสตร์กลาง กรุงฮานอยกล่าวว่า จะต้องหาข้อมูลความแตกต่างระหว่างการทำแท้งที่ชอบด้วยกฎหมายกับการทำแท้งเพื่อการเลือกเพศออกมาให้ได้ก่อน และห้ามการทำแท้งประเภทหลังอย่างเด็ดขาด
ศ.ดร.วีกล่าวอีกว่า ควรจะมีกฎหมายห้ามการทำแท้งทารกทีมีอายุกว่า 12 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะแรกที่ทารกแสดงเพศให้เห็น ยกเว้นเพียงกรณีที่ปฏิสนธิมาผิดรูปผิดร่างเท่านั้น
นายเหวียนดิ่งกื๋อ (Nguyen Dinh Cu) ผู้อำนวยการสถาบันประชากรและสังคม ได้เปิดเผยผลการสำรวจที่ได้พบว่ากว่า 66% ของสตรีตั้งครรภ์ทราบเพศของทารกก่อนคลอด ในนั้นมีจำนวนถึง 98% ใช้วิธีตรวจอัลตราซาวด์
นายกื๋อกล่าวอีกว่า กฎหมายที่ออกมาห้ามพ่อแม่ผู้ปกครองใช้วิธีการใดๆ ในการเลือกเพศของทารกนั้นยังบังคับใช้ไม่ได้ผล ปัจจุบันยังไม่เคยมีนายแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่การแพทย์ที่ทำงานเกี่ยวกับการตรวจเพศทารกในครรภ์ถูกลงโทษแม้แต่คนเดียว
ดร.เหวียนถิเทือง (Nguyen Thi Thuong) จากสถาบันเดียวกันนี้กล่าวว่า รัฐบาลควรใช้นโยบายเพิ่มรัฐสวัสดิการให้ผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเชื่อตลอดมาว่า ลูกชายหรือหลานชายเท่านั้นจึงจะเป็นที่พึ่งพาได้ในยามชราภาพ ส่วนบุตรสาวหรือหลานสาวถือเป็น "คนนอก" เนื่องจากหลังแต่งงาน จะต้องไปใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวของฝ่ายชายตามประเพณี ม
การประชุมสัมมนานัดหนึ่งที่จัดขึ้นในนครโฮจิมินห์เดือนที่แล้ว มีการเปิดเผยตัวเลขข้อมูลต่างๆ จำนวนมาก รวมทั้งข้อมูลที่ระบุว่าในปี 2573 จะมีชาวเวียดนามเพศชายราวสามล้านคนไม่อาจจะหาคู่ครองได้
ตามสถิติที่ยังไม่เป็นทางการ ผู้เชี่ยวชาญได้ประมาณว่าปัจจุบันประชากรของเวียดนามได้เพิ่มขึ้นเป็นถึง 86.9 ล้านคนแล้ว จากเพียง 85 ล้านคนเศษเมื่อห้าปีก่อน
ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติประชากรเวียดนามกว่าครึ่งหนึ่งยังอยู่ในวัยเยาว์ ซึ่งเป็นพลังผลักดันสำคัญในการพัฒนาประเทศ คนเหล่านี้ยังช่วยทำให้เวียดนามเป็นตลาดอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งในเอเชียอีกด้วย.