ผู้จัดการออนไลน์-- การสอบเอ็นทรานซ์ปี 2007 ได้พบว่า คะแนนเฉลี่ยในวิชาประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 อยู่ที่ 2.09 จากคะแนนเต็ม 10 ข้อมูลนี้ได้ทำให้ทุกคนตกอกตกใจระคนกับแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เป็นเพราะว่านักเรียนเวียดนามไม่ต้องการเรียนในวิชาประวัติศาสตร์หรือเพราะเหตุใด ทำไมคะแนนสอบวิชานี้จึงออกมาแย่ นักวิชาการกับนักการศึกษาหลายคนออกให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
ศาสตราจารย์ดิ่งซวนลาม (Dinh Xuan Lam) รักษาการแทนประธานองค์การประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์แห่งเวียดนามกล่าวว่าอาจารย์สายวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์หลายคนบอกว่า แบบเรียนที่ไม่ดี คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณภาพการสอนที่ต่ำ และ ตนเองเห็นด้วยกับเหตุผลดังกล่าว และ ควรมีตำราหลายๆ เล่มแทนที่จะมีแค่เล่มเดียว
ศ.ดร.เงวียมดิ่งวี (Nghiem Dinh Vy) นักการศึกษาอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ปัญหาเกิดขึ้นจากการไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมในการสอนวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน และ เห็นด้วยกับนักเรียนว่าหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ในปัจจุบันเน้นเกี่ยวกับเรื่องของสงครามและการทหาร แต่ในทางกลับกันข้อมูลที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและเศรษฐกิจซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความจำเป็นต่อการเรียนรู้นั้นกลับมีน้อยมาก
"เราควรที่จะ ปฎิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนและมหาลัยเสียใหม่ ปัจจุบัน คณะประวัติศาสตร์ ยังคงให้ความสำคัญกับประวัติการเมืองและประวัติศาสตร์สงครามอยู่" ศ.ดร.ดิ่งวีกล่าว
ส่วน ศ.หวูซเวืองนิง (Vu Duong Ninh) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอยมีความเห็นว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะบังคับให้เด็กเกรด 9 ให้เรียนเหตุการณ์สำคัญระหว่าง ช่วงปี 1919 ถึงปัจจุบัน เพราะเด็กชั้นมัธยมปีที่ 3 จำเป็นต้องจดจำรายละเอียดของเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เช่น การสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์ การปฏิวัติเดือนสิงหาคม ชัยชนะที่เดียน เบียนฟู และ การเป็นเอกราชในปี1975
"ปัจจุบัน มีปัญหามากมายในการรวบรวมตำราประวัติศาสตร์ เช่นว่า ขาดครู อาจารย์ในคณะผู้ทำหนังสือจึงได้รับความรู้ที่ยากๆ" ศ.ซเวืองนิงกล่าว
ศ.ฟานฮวีเล (Phan Huy Le) ประธานองค์กรประวัติศาสตร์เวียดนาม กล่าวว่านักเรียนในยุคนี้ ไม่ต้องการที่จะศึกษาประวัติศาสตร์แต่.. "จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเยาวชนเวียดนามไม่รู้ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตนเอง" น่าจะมีการประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรวมความคิดในการทำตำราเล่มใหม่ๆ และครูผู้สอนควรเป็นส่วนหกนึ่งในการจัดทำตำราด้วย
นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งคือ เดื่องจุ่งก๊วก (Duong Trung Quoc) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการสอนประวัติศาสตร์นั้นไม่ได้ใส่ความรู้ให้กับนักเรียนและการเรียนประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่การท่องจำ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนการสอนในโรงเรียนนั้นคือการช่วยให้ผู้เรียนมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น
"ปัจจุบันนักเรียนต้องจำเรื่องราวจำนวนมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ บางคนได้บอกผมว่าพวกเขาได้รับข้อมูลทางประวัติศาสตร์จากการคลิกเมาส์ " ศ.ก๊วกกล่าว
อย่างไรก็ตาม ศ.วันญือเกือง (Van Nhu Cuong) ผู้อำนวยการของโรงเรียนมัธยมเลือง-เถ-วิง (Luong The Vinh) กล่าวว่าผลการสอบที่ออกมาเมื่อปีที่แล้วไม่เพียงแต่เฉพาะวิชาประวัติศาสตร์เท่านั้นที่นักเรียนเวียดนามได้คะแนนต่ำ แต่วิชาอื่นก็แย่พอๆ กัน
"เด็กๆ เวียดนามจะรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนมากกว่า เพราะ โทรทัศน์นั้นได้นำเสนอภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากกว่า" ศ.เกืองกล่าว
แต่เด็กๆ ก็มักจะตั้งคำถามว่า ทำไมพวกเขาต้องเรียนประวัติศาสตร์ทั้งๆ ที่ไม่ต้องการที่จะทำงานที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์เลย ที่พวกเขาเรียนประวัติศาสตร์นั้นเพียงเพราะอยากเพิ่มพูนความรู้ ตัวเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์เองนั้นไม่ได้มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตเหมือนวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนไปก็นำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้
แต่ ศ.เกืองไม่คิดว่าวิชาประวัติศาสตร์จะไม่ได้รับความสนใจในโรงเรียน แต่ไม่ควรไปใช้เวลามาก นักเรียนเรียนวิชาคณิตศาสตร์สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง ส่วนวิชาประวัติศาสตร์สัปดาห์ละ 1.5 ชั่วโมงก็เพียงพอ
"นักเรียนเวียดนามไม่ได้ไม่ชอบเรียนวิชาประวัติศาสตร์หรอก ประวัติศาสตร์น่าสนใจกว่าวิชาน่าเบื่อๆ อย่างคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ตั้งเยอะ แต่เราจะทำอย่างไรล่ะที่จะทำให้ประวัติศาสตร์มีเสน่ห์ดึงดูดใจนักเรียนมากพอ"
ศาสตราจารย์ผู้นี้กล่าวว่า ประการคือ เนื้อหาในการเรียนการสอนต้องไม่หนักเกินไป และครูผู้สอนต้องมีความรู้และสนใจในประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งและพวกครูนั่นเองที่ต้องทำให้เด็กชอบและสนใจในประวัติศาสตร์ด้วย ครู คือ คนสำคัญที่ควรจัดเตรียมความรู้และทำให้เด็กรักในประวัติศาสตร์ของพวกเขา ศ.เกืองกล่าว.