แมเนเจอร์ออนไลน์ -- ทางการกัมพูชาได้สั่งห้ามเปิดเพลงที่มีเนื้อหาส่งเสริมการมีชู้สาวอีก 3 เพลง ซึ่งแม้จะยังให้เปิดฟังทั่วไปได้ แต่ได้สั่งห้ามเปิดในร้านคาราโอเกะและตามที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด ซึ่งแหล่งข่าววงในกล่าวว่าการสั่งห้ามดังกล่าวเป็นความประสงค์ของบุนรานีฮุนเซน “สตรีหมายเลข 1” ภริยานายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้ ทางการได้สั่งห้ามเปิดเพลงเกี่ยวกับสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวมาแล้วหลายเพลง รวมทั้งเพลง “สลัดผ้าเหลืองหารัก” ซึ่งโด่งดังมาก หลังจากได้แรงหนุนส่งจากภาพยนตร์เรื่อง “ตุมเตียว” (Tum Teav) ที่สร้างขึ้นจากวรรณคดีโศกนาฏกรรมตำนานรักระหว่างภิกษุรูปงามกับสีกาสาวสวย
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพ (Koh Santepheap) ทั้ง 3 เพลงที่ถูกแบนล่าสุดนั้นตั้งชื่อโจ่งครึ่มตรงไปตรงมาที่สุดคือ “ขอเป็นเมียหลวงก็ได้ เป็นเมียน้อยก็ได้” กับอีกเพลง “รักผัวอีกคน” และ เพลง “ขอแบ่งหัวใจสักห้องได้ไหม”
ทั้ง 3 เพลงแต่งโดยนักแต่งหญิง ร้องโดยนักร้องหญิง มุ่งจับกลุ่มหญิงสาวชาวเขมรที่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากชายร่ำรวยที่แต่งงานแล้ว
ทั้ง 3 เพลงได้กลายเป็นเพลงฮิตติดอันดับในกัมพูชา และ ไม่ได้มีอิทธิพลเพียงในหมู่หญิงที่ทำงานกลางคืนเท่านั้น หากยังแพร่ลามไปยังนักศึกษา นักเรียน และสาวทำงานออฟฟิศทั่วไปอีกด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่กัมพูชา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และ กำลังทำให้ศีลธรรมของสังคมมีแนวโน้มเสื่อมทรามลง
ผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ นายแก๊บ จุ๊กเตมา (Kep Chuktema) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังสำรวจวงการนี้อย่างละเอียด อาจจะมีอีกหลายเพลงที่จะต้องสั่งห้ามเปิดในสถานคาราโอเกะกับบาร์นับพันๆ แห่งทั่วเมืองหลวง
“เรากำลังดูเพลงอื่นๆ ที่อาจจะเข้าข่ายการดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกียรติภูมิสตรี” นายแก๊บ กล่าว
เป็นที่ทราบกับดีว่าร้านคาราโอเกะกับร้านเบียร์ในกรุงพนมเปญนั้น ส่วนใหญ่มีการค้าประเวณีแอบแฝงและประมาณกันว่าหญิงขายบริการทางเพศราว 1 ใน 3 เป็นเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี
ที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาออกวิพากษ์วิจารณ์ดารานักแสดงนักร้อง ทั้งเรื่องกิริยาวาจา ทั้งการแต่งเนื้อแต่งตัวในการถ่ายทำวิดีโอคาราโอเกะ แม้กระทั่งการออกแสดงคอนเสิร์ตที่มีการถ่ายทอดสดทางโรทัศน์ไปทั่วประเทศ
สื่อในกัมพูชารายงานว่า ทั้งหมดนั้นล้วนแต่มีท่านผู้หญิงบุนรานีอยู่เบื้องหลัง ปัจจุบันสตรีหมายเลข 1 ของกัมพูชา ยังมีตำแหน่งเป็นองค์นายิกาสภากาชาดกัมพูชาอีกด้วย
ภูมิหลังของการรณรงค์นี้ ก็คือ ในเดือน ก.ย.2549 รัฐสภากัมพูชาได้ผ่านกฎหมายออกมาฉบับหนึ่งที่เอาผิดกับผู้ที่แต่งงานแล้วแต่ไปมีสัมพันธ์สวาทกับบุคคลที่มิใช่สามีหรือภรรยาของตน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “กฎหมายห้ามมีชู้”
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการออกกฎหมายฉบับดังกล่าว คือ ภริยาของนายกรัฐมนตรีผู้ซึ่งทนไม่ได้ที่เห็นบรรดารัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงชอบนำสาวๆ หรือหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาของตนออกงานสังคมต่างๆ
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่าย กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีเบื้องหลังทางการเมืองแอบแฝง เพราะหนึ่งในบุคคลแรกๆ ที่ถูกเล่นงาน ก็คือ กรมพระนโรดมรณฤทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคฟุนซินเปก ที่ยังไม่ได้หย่ากับพระชายาเดิมและไปอยู่กินกับพระชายาดาราภาพยนตร์
ปัจจุบันกรมพระรณฤทธิ์ทรงลี้ภัยอยู่ในมาเลเซียกับพระชายาใหม่และพระโอรสอีก 1 พระองค์
อีกกรณีหนึ่ง คือ นายแขกระวี (Khek Ravy) ญาติของกรมพระรณฤทธิ์ ถูกกฎหมายฉบับนี้เล่นงานหลังจากด่วนไปมีคนรักใหม่ในขณะที่การฟ้องหย่ากับภรรยาคนเดิมยังไม่มีผลบังคับ ศาลสั่งปรับไป 1 ล้านเรียล (126 เรียลต่อ 1 บาท)
สื่อของกัมพูชา กล่าวว่า ร้านคาราโอเกะในพนมเปญนั้น เป็นแหล่งพลุกพล่านของนักเที่ยว ทั้งชาวกัมพูชาเองและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยซึ่งไปที่นั่นเพื่อล่าเด็กสาวโดยเฉพาะ