xs
xsm
sm
md
lg

เที่ยวเวียดนาม?? มีเรื่องเน่าๆ เยอะแยะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



ทางการเวียดนามเพิ่งจะประกาศสถิติใหม่ มีนักท่องเที่ยว 4.2 ล้านคน เดินทางเข้าประเทศในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในช่วงหลายปีมานี้

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนไปเที่ยวเวียดนามแล้วมีความสุข นักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันบ่นอุบ จำนวนหนึ่งได้เขียนสะท้อนประสบการณ์อันเลวร้ายที่ได้พบขณะอยู่ในเวียดนาม ในระดับที่แตกต่างกัน

องค์การบริหารการท่องเที่ยวแห่งชาติกล่าวว่า ราวครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวเหล่านี้เดินทางเข้าเวียดนามโดยผ่านประเทศเพื่อนบ้านที่พรมแดนติดกัน อันได้แก่กัมพูชาและลาว จำนวนมากไปไกลจากประทศไทย ซึ่งทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการตอนรับขับสู้ของประชาชนประเทศแถบนี้

นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยลงความเห็นว่า จะเที่ยวแล้วมีความสุข ผู้คนต้อนรับขับสู้ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้องเป็นประเทศไทยหรือไม่ก็ลาวเท่านั้น

"ชาวเวียดนามต้องเรียนจากเพื่อนบ้านอีกเยอะในเรื่องนี้" นิตยสารขององค์การบริหารการท่องเที่ยวฯ TTO กล่าว

คุณยาย "ไอลีน" นักท่องเที่ยวสูงวัยอายุ 76 ปี เขียนลงใน Lonely Planet Forum ว่า "ฉันกับเพื่อนๆ เพิ่งกลับจากเที่ยวกรุงฮานอยเป็นเวลา 5 วันขอพูดตามตรง.. ที่นั่นมันนรกชัดๆ"

"เพระอะไรหรือ? นับตั้งแต่เราก้าวขึ้นเครื่องบิน (แอร์เอเชีย) เราก็เจอพวกเวียดนามงี่เง่า เปิดโทรศัพท์มือถือกลางอากาศ โดยไม่สนใจคำขอร้องจากพนักงานบนเครื่อง" คุณยายเริ่มต้นเรื่องราวเกี่ยวกับ "นรกฮานอย"

วันต่อมาคุณยายโดนล้วงกระเป๋า ตอนที่กำลังยืนอยู่ริมทะเลสาบสักแห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งยืนเบียดเข้าใกล้ๆ จนรู้สึกได้ ก็เลยตะโกนตะเพิดให้ถอยห่างออกไป และไอ้หมอนั่นด่ากลับ.. จากนั้นก็รีบสำรวจดูกระเป๋าสตางค์กับกล้องดิจิแคมพบว่ายังอยู่เพราะเก็บในช่องด้านในกระเป๋าถือ

แต่อีก 2-3 นาทีต่อมานึกขึ้นได้ คลำดูโทรศัพท์มือถือซึ่งอยู่ช่องด้านนอกก็พบว่าหายไปเสียแล้ว ไอ้บ้านั่นก็หายวับไปด้วย

ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เจ้าของร้านค้าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแต่ก็ไม่ทำอะไร เขาอยู่ห่างออกไปแค่เมตรเศษๆ.. คนพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด?

ยิ่งการจราจรยิ่งไมต้องพูดถึงเลย ที่นั่นไม่มีกฎจราจรใดๆ

“เท่าที่ฉันจำได้ ไฟเขียวหมายถึงว่าให้ไปได้ ไฟแดงให้หยุด แต่สำหรับชาวฮานอยไฟจราจรทั้ง 2 นี้มีความเดียวกันคือ ไป...ไป...ไป มีหลายครั้งที่พวกเราเกือบโดนรถมอเตอร์ไซค์เหยียบตายขณะกำลังข้ามถนน ขณะที่ไฟสำหรับคนเดินถนนตรงทางม้าลายเป็นสีเขียวอย่างชัดเจน”

"พวกนี้ขับขี่แบบคนไร้สติ ขี่ไปกดแตรไป กดอยู่นั่นซ้ำๆ ซากแก้วหูจะแตก ไม่รู้ว่ากดเพื่อจุดประสงค์อะไร" คุณยายกล่าว

ต่างกับกรุงพนมเปญที่คุณยายเพิ่งไปเที่ยวไม่กี่วันก่อนหน้านั้น การจราจรในเมืองหลวงกัมพูชาวุ่นวายสับสนไม่ต่างกัน เพียงแต่ผู้ขับขี่ยวดยานที่นั่นจอดให้คนข้ามถนน และ ขับหลบคนที่กำลังข้ามถนน ทุกคนจะปลอดภัยนอกเสียจากว่าจะหยุดกึกลงกลางคัน ไม่ก้าวไปข้างหน้า

"แต่คุณใช้วิธีนี้ไม่ได้ในกรุงฮานอย คุณมีสิทธิ์สูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งถ้าหากไม่ถึงกับตาย" คุณยายไอลีนร่ายยาวในเว็บฟอรัมของ Lonely Planet

คนในกรุงฮานอยเป็นอย่างไรหรือ? เท่าที่คุณยายพบนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไม่เต็มใจให้บริการ มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อชาวต่างชาติ

"พวกเขาหยาบคาย ดิบๆ ไม่ยินดียินร้าย ภาษาอังกฤษไม่กระดิก.. แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เรายอมรับได้ แต่ที่เราไม่สามารถฝืนกล้ำกลืนได้คือ คนเหล่านั้นไม่สบตาและไม่สนใจอะไรเลยเวลาพูดคุยกับนักท่องเที่ยว”

มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่โรงแสดงหุ่นกระบอกน้ำ เราไปที่ช่องตั๋วของจอง 3 ที่นั่งสำหรับรอบสองทุ่มครึ่ง พนักงานหญิงขายตั๋วบ่นงึมงำแล้วตะคอกว่า "No"... ครั้นถามว่าที่นั่งเต็มหรืออย่างไร หรือว่าไม่มีตั๋วราคา 20,000 ด่งเหลืออีกแล้ว.. เธอยกตั๋วขึ้นมา 3 ใบแล้วฉีกเป็นฝอยต่อหน้าต่อตาพวกเรา ก่อนจะบ่นงึมงำต่อ

ผู้ที่บังเอิญรู้เรื่องผ่านไปพบได้ช่วยอธิบายให้ทราบว่า ตอนนั้นเหลือเพียงตั๋วราคา 40,000 ด่ง และเป็นรอบสามทุ่มสิบห้านาทีเท่านั้น พอเราถามว่ามีชั้นราคา 20,000 ด่งเหลืออยู่ไหม ก็โดนตะคอกกลับมาอีก ด้วยคำว่า "No No No No No"

ในที่สุดเราก็เลยเลิกความตั้งใจและเดินจากไปหลังจากทิ้งเงินไว้กับเจ้าหน้าที่คนนั้นไปรวม 40,000 สำหรับ 2 ที่นั่ง คุณยายกล่าว

เด็กสาวคนนั้นไม่เคยมองพวกเราเลย เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพลิกกระดาษไปมาบนเคาน์เตอร์ .. มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมีนักท่องเที่ยวสักคนหนึ่ง ไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อซื้อตั๋ว แต่ไปเพื่อสอบถามข้อมูลเฉยๆ

"เรายังเจอใบหน้าบูดๆ กับทัศนคติเน่าๆ แบบเดียวกันนี้ในย่านเมืองเก่า พ่อค้าแม่ขายที่นั่นเป็นแบบเดียวกันทั้งสิ้น"

คุณยายบอกว่าลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติได้รับการต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อเดินเข้าร้าน แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปทันทีเมื่อสอบถามราคาค่างวด (ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องธรรมดามาก) และ สถานการณ์จะเลวร้ายมากขึ้นหากขอถ่ายรูป

ชาวฮานอยไม่สุภาพเอาเสียเลย พวกนี้ชอบเบียดหรือผลักคนที่เดินช้าออกไปจากทางเดินของพวกเขา และที่สำคัญคือไม่มีคำว่า "คิว" พวกนี้ถือว่าพระเจ้าได้มอบสิทธิ์พิเศษมาให้ คือ สิทธิ์ที่สามารถลัดคิวอะไรก็ได้... นิสัยการต้อนรับสู้ผู้ไปเยือนของคนพวกนี้มันหายไปไหนหมด? มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณสมบัติที่ครั้งหนึ่งคนเวียดนามเคยได้รับการยกย่องจากชาวโลก?

ถึงแม้ว่าเวียดนามจะพัฒนาไปมากกว่าลาวกับกัมพูชา แต่ยังมีอะไรอีกมากที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้จากสองประเทศนี้ เรียนรู้ที่จะยิ้มและส่งเสียงทักทาย ให้ผู้ไปเยือนรู้สึกอบอุ่น เป็นมิตร ในโลกที่แตกต่างออกไป และ อยากจะกลับไปเยือนอีก

แต่สำหรับกรุงฮานอย... "ขอบคุณมาก.. สำหรับการต้อนรับที่แตกต่างออกไป มันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดจริงๆ แต่จะกลับไปอีกหรือไม่? ไม่เด็ดขาดในชีวิตนี้ ฉันเลือกที่จะไปเที่ยวลาวหรือประเทศไทยอีก ตอนไหนก็ได้" คุณยายไอลีนสรุปใน Lonely Planet Forum

นี่เป็นเพียงการบ่นยาวๆ จากนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านไปพบ แต่ก็ยังมีอีกมากมายหลายกรณีคล้ายกันนี้ หรือแตกต่างกันออกไป

แฮร์รี เล็ดเจอร์ (Harry Ledger) นักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียซึ่งกล่าวว่าอยู่ในฮานอยมา 10 เดือนแล้ว ได้เขียนถึงความลำบากในการไปเที่ยวอ่าวฮาลองบนเว็บของ BBC กรุงลอนดอน

นายเล็ดเจอร์กล่าวว่า ไกด์ทัวร์ที่ชื่อ "เหวียน" (Nguyen) จะนอนหลับและส่งเสียงกรนตลอดทาง หมอนั่นจะตื่นอีกครั้งตอนที่ไล่ต้อนนักท่องเที่ยวเข้าร้านจำหน่ายของที่ระลึกที่ราคาแพงกว่าในฮานอยประมาณ 1 เท่าตัว

มีครั้งหนึ่งหมอนั่นเล่ารสนิยมส่วนตัวให้นักท่องเที่ยวบนรถฟัง แกบอกว่า "ผมไม่ชอบนักท่องเที่ยวเลย แต่ว่าสาวๆ ชาวต่างชาติสวยชะมัดยาด แล้วคุณจะเห็นของดีๆ ที่อ่าวฮาลอง"

ต่อมาคณะของนายเล็ดเจอร์ถูกต้อนเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่งใกล้กับสถานีรถไฟ ที่นั่นเต็มไปด้วยอาหารที่เหลือจากทัวร์คณะก่อนและเย็นจนชืดหมดแล้ว แต่นายเหวียนก็ยังประกาศกับทุกคนว่า "ลองรสชาติอาหารเอเชียแท้ๆ สักครั้งจะเป็นไรไป"

ชาวออสซี่ผู้นี้บอกว่าเขาทำงานและอาศัยอยู่ในย่านเอเชียมาเป็นเวลาหลายปี ใช้เวลาในเวียดนาม 10 เดือนแล้ว และนี่เป็นอาหารมื้อแย่ที่สุดที่เคยรับประทานมา

เล็ดเจอร์ยังเขียนเล่าประสบการของนักท่องเที่ยวตะวันตกอีกคนหนึ่งที่ชื่อ แอนนา สก็อดเว็ดท์-ซุนด์ลิง ที่ขอยุติการเดินทางกับบริษัท Tran-Vietnam ลงกลางคัน

หญิงสาววัย 26 ปีจากสวีเดนบอกว่าทุกอย่างเลวร้ายสิ้นดี ทุกวันคณะของเธอจะถูกนำไปให้ร้านค้าตุ๋นเอาเงินในกระเป๋า ได้ของราคาแพงแต่คุณภาพแย่ เธอแจ้งกับบริษัททัวร์ว่า ต้องการเดินทางต่อไปยังหลวงพระบางในทันที

นักท่องเที่ยวจากสวีเดนรายนี้ยังกล่าวอีกว่า เธอเพิ่งไปเที่ยวประเทศไทยมาและได้รับการต้อนรับที่ดีกว่ามากๆ

นักท่องเที่ยวที่ชื่อ เบ็น ฮาร์เปอร์ (Ben Harper) จากสหราชอาณาจักรกล่าวว่า เขาถูกล้วงกระเป๋าในเขตเมืองเก่าไซ่ง่อน จึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุด ตำรวจที่นั่นบอกให้ไปแจ้งกับตำรวจท่องเที่ยว แต่ตำรวจท่องเที่ยวพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ต้องกลับไป สน.เดิมอีกครั้ง

พอกลับไปทีที่นั่นก็ไม่รับแจ้งอีก บอกว่า "สายไปเสียแล้ว" และ เสียใจด้วย

"พวกนั้นคงคิดว่าการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติโดนล้วงกระเป๋าในบ้านของพวกเขา เป็นเรื่องตลก" ฮาร์เปอร์ เขียนลงเว็บของ BBC

นิตยสาร TTO กล่าวว่า ข้อร้องเรียนทั้งหมดนี้แสดงถึงรากฐานความไม่พร้อมในการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยไม่ได้พัฒนายกระดับการต้อนรับขับสู้ ขาดการณรงค์เรื่องนี้ เช่นที่ประเทศเพื่อนบ้านประสบความสำเร็จมาแล้ว

ขณะที่เวียดนามเร่งขยายการลงทุนด้านการท่องเที่ยว มีการก่อสร้างผุดโรงแรมห้าดาวขึ้นมากมาย แต่สำหรับนักท่องเที่ยวพื้นฐานทั่วไป ยังไม่มีอะไรให้ความสะดวกแก่พวกเขา

มันจะเลวร้ายลงไปอีกถ้าหากชาวเวียดนามไม่มีจิตใจในการต้อนรับขับสู้ TTO กล่าว.
กำลังโหลดความคิดเห็น