xs
xsm
sm
md
lg

ยกระดับ “เป๊ปซี่ พรีเซนต์ บิ๊กเมาน์เท่นมิวสิคเฟสติวัล”ครั้งที่ 15 สู่เทศกาลดนตรีที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ผนึกกำลัง เป๊ปซี่โค ประเทศไทย และ จีเอ็มเอ็ม โชว์ สานต่อแคมเปญ “Waste Nothing - มันส์ แล้ว ทิ้ง” ปีที่ 3 มุ่งจัดการขยะเต็มรูปแบบในงาน เป๊ปซี่ พรีเซนต์ บิ๊กเมาน์เท่นมิวสิคเฟสติวัล ครั้งที่ 15 เทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย


บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท เป๊ปซี่โค เซอร์วิสเซส เอเชีย จำกัด (เป๊ปซี่โค ประเทศไทย) และ ทีมผู้จัดงาน “GAYRAY (เกเร)” หน่วยงานภายใต้ จีเอ็มเอ็ม โชว์ บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสานต่อภารกิจรักษ์โลกภายใต้แคมเปญ “Waste Nothing - มันส์ แล้ว ทิ้ง” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมุ่งคัดแยกและจัดการขยะเต็มรูปแบบ ในงาน เป๊ปซี่ พรีเซนต์ บิ๊กเมาน์เท่นมิวสิคเฟสติวัล ครั้งที่ 15 เทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 

ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 ธันวาคม 2568 ณ ดิโอเชี่ยน เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา พร้อมเชิญชวนผู้เข้าร่วมงาน สนุกอย่างรับผิดชอบ ทิ้งให้ถูกที่ แยกให้ถูกถัง เพื่อส่งขยะเหล่านั้นไปรีไซเคิล หรือนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการจัดเทศกาลดนตรีที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม


ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีมากกว่า 500 งานต่อปี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มอัตราการจ้างงาน และสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ โดยกลุ่มผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และมิลเลนเนียล ที่นอกจากจะรักความสนุกสนาน ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจที่ระบุว่า 79% ของ Gen Z และ 81% ของมิลเลนเนียล เชื่อว่าภาคธุรกิจควรมีบทบาทด้านความยั่งยืนมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ดังนั้น เทศกาลดนตรีชั้นนำทั่วโลกจึงหันมาให้ความสำคัญกับแนวคิดความยั่งยืน ผ่านการออกแบบกิจกรรมและมาตรการต่าง ๆ เช่น ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastics) คัดแยกขยะรีไซเคิล และใช้พลังงานสะอาด เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถ “สนุกอย่างรับผิดชอบ” พร้อมร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน

ในฐานะผู้สนับสนุนงาน “เป๊ปซี่ พรีเซนต์ บิ๊กเมาน์เท่นมิวสิคเฟสติวัล ครั้งที่ 15” ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย และ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย จึงร่วมมือกับ จีเอ็มเอ็ม โชว์ สานต่อแคมเปญ “Waste Nothing - มันส์ แล้ว ทิ้ง” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อเชิญชวนผู้ร่วมงาน ทิ้งให้ถูกที่ แยกให้ถูกถัง พร้อมปลูกฝังพฤติกรรมคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และยกระดับการบริหารจัดการขยะอย่างเต็มรูปแบบในพื้นที่จัดงานกว่า 600 ไร่ เพื่อให้ขยะที่เกิดขึ้นในงานถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้มากที่สุด ตอกย้ำ
การจัดงานมิวสิคเฟสติวัลในประเทศไทยที่มาพร้อมความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม




ในปีนี้ มีการจัดเตรียมจุดคัดแยกขยะ 55 จุด ครอบคลุม 4 ประเภท ได้แก่ 1) ขวดพลาสติก PET ซึ่งเป็นถังที่จัดทำขึ้นพิเศษเพื่อรองรับขวด PET โดยเฉพาะ 2) กระป๋องอะลูมิเนียม 3) เศษอาหาร และ 4) ขยะทั่วไป 

ทั่วบริเวณพื้นที่จัดงานพร้อมด้วย Green Guide กว่า 160 คน คอยให้คำแนะนำการคัดแยกขยะอย่างเหมาะสมแก่ผู้ร่วมงาน นอกจากนี้ ยังได้จัดอบรมการคัดแยกขยะและปลูกฝังแนวคิดการดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนอาสาสมัครจากโรงเรียนปากช่อง พร้อมทั้งพนักงานของบริษัท รวมทั้งสิ้นกว่า 100 คน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ในงานนี้ เช่น ขวดพลาสติก PET และกระป๋องอะลูมิเนียม ใส่ถุง “มันส์ แล้ว ทิ้ง” เป็น Mobile Bins เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ใช้แล้วถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง

แคมเปญ “Waste Nothing – มันส์ แล้ว ทิ้ง” เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย และ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ผ่านเทศกาลดนตรีและกิจกรรมที่แบรนด์เป๊ปซี่สนับสนุน (Event-Based Packaging Sustainability) โดยมีเป้าหมายให้บรรจุภัณฑ์ใช้แล้วภายในงานถูกคัดแยกและนำกลับมาใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะขวด PET ใสไม่มีสี ที่สามารถเข้าสู่กระบวนการ “Bottle-to-Bottle Recycling” เพื่อหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็นขวดใหม่ และกระป๋องอะลูมิเนียม ที่เข้าสู่กระบวนการ “Can-to-Can Recycling” เพื่อผลิตเป็นกระป๋องใหม่ได้อีกครั้ง 

พร้อมกันนี้ ยังส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมงานมีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะด้วยตนเอง เพื่อสร้างความเข้าใจและเห็นคุณค่าของการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมตามค่านิยมองค์กร “การเติบโตอย่างยั่งยืน” (Growing for Good) ของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย และกลยุทธ์ Pep+ (PepsiCo Positive) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของเป๊ปซี่โค และเป็นกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนในทุกมิติ ตั้งแต่การผลิต การขนส่ง จนถึงการบริโภค เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้คนและโลกของเรา