xs
xsm
sm
md
lg

เป้าใหม่ Net Zero เร่งแบบไหนกัน ! เพิ่มทั้ง “โรงไฟฟ้าก๊าซและถ่านหิน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เวทีเสวนา “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” ส่องดูความย้อนแย้งในแผนพลังงานของไทยที่มีแต่ทวีการสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างไม่จำเป็น แล้วเราจะบรรลุเป้าหมายลดโลกร้อนระดับโลกได้อย่างไร?

ขณะที่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 30 หรือ COP30 ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ใกล้จะปิดฉาก ก่อนหน้านั้นไม่นาน ประเทศไทยประกาศกรอบเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2574–2578 (ค.ศ. 2031–2035) ภายใต้ “แผนปฏิบัติการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ Nationally Determined Contribution: NDC ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) โดยระบุว่าเป็นแผนลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และกรมลดโลกร้อนนำกรอบเป้าหมายและแผนดังกล่าวส่งต่อ UNFCCC และนำเสนอต่อที่ประชุม COP30

เวทีเสวนา “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย”
NDC 3.0 ใหม่ มุ่งมั่นลดพลังงานฟอสซิลจริงหรือไม่ !
เป้าหมายของแผน NDC 3.0 คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂eq) หรือคิดเป็นการลดลงร้อยละ 47 จากระดับปีฐาน 2562 (ค.ศ. 2019) ซึ่งกรมลดโลกร้อนมองว่าเป็นการยกระดับเป้าหมายครั้งสำคัญจาก NDC ฉบับก่อนหน้า และเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับทิศทางการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050

แม้ตัวเลขเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกจะดูมีความก้าวหน้า แต่ความเป็นจริงแล้วแผนพลังงานของไทยกลับดูสวนทาง และมีแต่ทวีการสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างไม่จำเป็น แล้วเราจะบรรลุเป้าหมายลดโลกร้อนระดับโลกได้อย่างไร? คำถามนี้นำไปสู่การถกเพื่อหาคำตอบในเวทีเสวนา “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” เมื่อ 7 พ.ย.2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

รัฐบาลไทยระบุว่า การประกาศเป้าหมาย NDC 3.0 ที่ COP30 จะเป็น “ข้อความแห่งความมุ่งมั่น” ของไทยต่อประชาคมโลกว่า ประเทศเราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา อีกทั้งแผน NDC 3.0 นี้ยังมีศักยภาพในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศกว่า 230,000 ล้านบาทผ่านกลไกตลาดคาร์บอน ทว่าบนเวทีนี้กลับมองว่า ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประเทศไทยยังคงมุ่งผลักดันพลังงานฟอสซิล และรัฐบาลกำลังมองข้ามความไม่เป็นธรรมที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชน


รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดด้วยประเด็นให้รัฐบาล “คิดใหม่ ถ้าไทยจะ Net Zero 2050 จะจัดการอย่างไรกับการใช้พลังงานจากก๊าซฟอสซิล” โดยให้ข้อมูลการใช้พลังงานฟอสซิลโดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซฟอสซิลหรือ LNG ของไทยว่า “ประเทศไทยพึ่งพาก๊าซฟอสซิลในการผลิตพลังงานไฟฟ้ามากถึงร้อยละ 50 บางช่วงร้อยละ 60 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด หลายปีที่ผ่านมาเราพยายามลดการพึ่งพาก๊าซลง เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยลดลงเรื่อย ๆ และเราต้องนำเข้าก๊าซ LNG จากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราก็ยังคงมุ่งสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซอย่างต่อเนื่อง”

ทิศทางของโลกกำลังเลิกใช้พลังงานฟอสซิล เปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การที่ประเทศไทยมุ่งสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซมากขึ้น คือความย้อนแย้งกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับเวทีโลก “พลังงานลมและแสงอาทิตย์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 29 ต่อปี เราต้องพยายามให้มากกว่าที่เราพยายามอยู่ตอนนี้ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส” รศ. ดร.ชาลี กล่าว

เขาบอกว่าในแง่ความมั่นคงด้านพลังงาน ประกอบไปด้วยหัวใจหลักคือ การผลิตได้เพียงพอ ความเสถียร และราคาที่เข้าถึงได้ รศ. ดร.ชาลี ให้ความเห็นว่า ประการแรก การผลิตไฟฟ้าของไทยที่พึ่งพาก๊าซฟอสซิลเป็นหลัก และอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศในปัจจุบัน จึงไม่ตอบโจทย์ด้านความมั่นคง ประการที่สอง โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซมีค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมากกว่าโซลาร์เซลล์ จึงไม่ตอบโจทย์เรื่องต้นทุน และประการที่สำคัญคือ ความไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษ ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5

“เรามักโทษ PM2.5 ว่ามาจากการเผาของภาคเกษตรกรรม แต่เรามักลืมโทษโรงไฟฟ้าว่าเป็นผู้ก่อ PM2.5 ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งสามมิตินี้ทำให้ก๊าซธรรมชาติไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในเวลานี้”

เป้าหมาย NDC 3.0 ฉบับล่าสุดของประเทศไทยได้ปรับเร่งแผนสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065 อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือเพียง 270 ล้านตันภายในปี 2035 ซึ่งหมายความว่าภาคพลังงานจำเป็นต้องลดการปล่อยลงมากกว่าร้อยละ 40 หรือเหลือเพียง 117 ล้านตันเท่านั้น แต่หากยังคงมีการสร้างโรงไฟฟ้าที่ปล่อยคาร์บอนเข้มข้น เช่น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ กำลังผลิต 540 เมกะวัตต์ ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2 ล้านตันต่อปี เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของไทยก็จะเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น

เตรียมรับค่าไฟแพงจากการสร้างโรงไฟฟ้า


“ไฟฟ้าเราแพงเพราะเราพึ่งพา LNG มากเกินไป แต่ก๊าซในอ่าวไทยที่ต้นทุนถูกกลับถูกอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแย่งใช้ในราคาถูก”
รศ. ดร.ชาลี ชี้ชัดถึงความเชื่อมโยงของปัญหาค่าไฟแพงและการพึ่งพาก๊าซฟอสซิลที่นำไปสู่การผลิตไฟล้นเกิน

การที่จะไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 270 ล้านตัน อุตสาหกรรมพลังงานต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซฟอสซิล ผลกระทบที่ตามมาคือราคาค่าไฟที่สูง ซึ่งต้นเหตุก็มาจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล

เขาย้ำว่า “เรากำลังมีโรงไฟฟ้ามากเกินไป ซึ่งเหรียญอีกด้านหนึ่งคือค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่เราไม่ได้ใช้งาน เรามีกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าในไทยทั้งหมด 51,992 เมกะวัตต์ แต่ไทยใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพียง 34,568 เมกะวัตต์ (ข้อมูลเดือนเมษายน ปี 2568) หรือเรียกได้ว่าเราผลิตไฟฟ้าล้นเกินถึงร้อยละ 50 และกำลังจะสร้างเพิ่มขึ้นอีก ทั้งที่มีโรงไฟฟ้าจากเอกชน IPP 4 โรงที่ไม่ได้เดินเครื่องเลยปีนี้ นี่คือภาระที่เราต้องจ่ายเงิน เราเรียกภาระนี้ว่าค่าพร้อมจ่าย” ดังนั้น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ที่อยู่ในแผนผลักดันของรัฐบาลจะเป็นภาระค่าไฟที่เพิ่มมากขึ้นให้กับประชาชน

หากสร้างโรงไฟฟ้ามาแล้วไม่เปิดใช้ จะสร้างมาทำไม ข้อสงสัยนี้ดร.ชาลี อธิบายว่า “การสร้างโรงไฟฟ้าทุกโรงการันตีว่าไม่มีขาดทุน โดยอิงจากการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเกินจริง เปิดประมูลโรงไฟฟ้าให้เอกชนสร้างมากขึ้นและทำสัญญาซื้อขายกับเอกชนว่าต่อให้ไม่ได้ผลิตไฟก็จะมีการจ่ายเงินให้เพื่อให้มีการคืนทุนและผลกำไร ขณะที่ประชาชนต้องจ่ายค่าพร้อมจ่ายแม้ไม่ได้เดินเครื่องเลย ไม่มีการรับผิดชอบในการวางแผนหรือพยากรณ์ผิดพลาด และสามารถหาเหตุผลเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นได้ตลอด”


เขาเสริมอีกว่า โรงไฟฟ้าใหม่ที่จะสร้างขึ้นนั้นส่วนมากเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งปัจจุบันจำเป็นจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเนื่องจากปริมาณก๊าซในอ่าวไทยไม่เพียงพอ การสร้างโรงไฟฟ้าพลังก๊าซใหม่ยังชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย อีกทั้งโครงสร้างราคาก๊าซยังให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมเพราะหวังว่าเอกชนจะช่วยสร้าง GDP ให้กับประเทศ แทนที่จะชดเชยให้กับรัฐวิสาหกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอย่างกฟผ. จึงทำให้กฟผ.กลายเป็นผู้ที่ต้องซื้อก๊าซแพงกว่าที่ควรจะเป็น และดร.ชาลีให้ความเห็นว่านี่ทำให้กฟผ.เป็นหนี้อยู่หลักแสนล้าน

ทางออกสำหรับการวนลูปค่าไฟแพงและการพึ่งพิงพลังงานก๊าซฟอสซิลนั้น รศ.ดร.ชาลี เสนอว่า “เราควรมีแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่สอดคล้องกับฐานทรัพยากรของประเทศ ไม่ได้เป็นไฟฟ้าที่ต้องพึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจด้วยการนำเข้า และตอบโจทย์เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย สนับสนุนการผลิตไฟฟ้ากระจายศูนย์รวมถึงโซลาร์บนหลังคาแบบ Net Metering นอกจากนี้ เราควรหยุดสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลใหม่ได้แล้ว ซึ่งจะเป็นภาระที่ไม่จำเป็น แล้วหันมาส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรมในประเทศดังที่ไทยเรามีศักยภาพมาก นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”


กำลังโหลดความคิดเห็น