xs
xsm
sm
md
lg

3 ประเด็น ESG ที่นักลงทุนต้องจับตาในปีนี้ / ศรชัย สุเนต์ตา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เข้าสู่ปี 2567 แล้วนะครับ ในช่วงต้นปีแบบนี้ ผมขอชวนทุกคนมาติดตามกันครับว่า ตลอดปีนี้ มีประเด็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ESG ที่เราควรให้ความสนใจกันบ้าง

ซึ่งถ้าให้ผมมอง ก็จะมี 3 เรื่องที่ค่อนข้างโดดเด่นครับ ได้แก่ 1.กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็น ESG 2.การจัดพอร์ตโฟลิโอคาร์บอนต่ำ และ 3.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน

สำหรับมิติกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็น ESG นั้น ผมมองว่า ในปี 2566 เราได้เห็นกฎเกณฑ์ที่ประเทศต่าง ๆ ได้เริ่มบังคับใช้ รวมถึงประกาศว่าจะออกกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ในปีนี้และเร็ว ๆ นี้มากขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยได้เพิ่มความเข้มข้นเรื่องการเปิดเผยข้อมูลการบริหารจัดการและผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอีกด้วย

อย่างเช่นที่สหภาพยุโรป (EU) ได้มีการบังคับใช้ ‘ข้อบังคับว่าด้วยการรายงานความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Reporting Directive: CSRD)’ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 โดยกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้องค์กรขนาดใหญ่และบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด (ยกเว้นบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็ก) จะต้องเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงและโอกาสด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบของการดำเนินธุรกิจต่อผู้มีส่วนได้เสียและสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากบริษัทใดที่เข้าข่ายตามข้อบังคับ CSRD ต้องรายงานข้อมูลภายใต้มาตรฐานการรายงานความยั่งยืนของยุโรป (European Sustainability Reporting Standards : ESRS) ดังนั้นปี 2567 ถือเป็นปีแรกที่บริษัทต้องเริ่มเก็บข้อมูล เพื่อจัดทำรายงานตามมาตรฐาน ESRS ก่อนเผยแพร่รายงานในปี 2568

ขณะที่ สหรัฐฯ นอกจากกฎหมาย Clean Competition Act หรือ US-CBAM ซึ่งเป็นมาตรการเกี่ยวกับภาษีคาร์บอนที่จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2568 กับอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้มข้น ก่อนขยายไปอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในปี 2570 ต่อไปนั้น ยังจะมีการบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ. การเปิดข้อมูลสภาพภูมิอากาศของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California’s New Climate Disclosure Rules) รวม 2 ฉบับ คือ SB 253 ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบขององค์กรต่อข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ ที่กำหนดให้องค์กรขนาดใหญ่ต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งรวมถึงข้อมูลของห่วงโซ่อุปทานด้วย และ SB 261 กฎหมายว่าด้วยเรื่องก๊าซเรือนกระจก สภาพภูมิอากาศ ความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้อง ที่กำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ต้องรายงานความเสี่ยงทางการเงินที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ แม้ พ.ร.บ. นี้จะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 แต่บริษัทต้องเริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2567 แล้ว อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องจับตาการเลือกตั้งสหรัฐฯ ช่วงปลายปีด้วยครับ เพราะหากเปลี่ยนขั้วอำนาจ ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้อีกครับ

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของประเทศมหาอำนาจที่มีการเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change และการรายงานความยั่งยืน ยังมีอีกหลายประเทศที่เตรียมออกกฎหมายและมาตรฐานการรายงานลักษณะคล้าย ๆ กันนี้เพิ่มเติม ซึ่งการรายงานที่เข้มข้นขึ้นจะมีส่วนช่วยทำให้ผู้ลงทุนได้เห็นว่า หุ้นหรือตราสารหนี้ของบริษัทที่ตัวเองลงทุนโดยตรงอยู่หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมสร้างผลกระทบทั้งเชิงลบและเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างไรบ้าง

ประเด็นต่อมาที่ควรให้ความสนใจไม่แพ้กัน คือ การจัดพอร์ตโฟลิโอคาร์บอนต่ำ ที่ผมมองว่า เป็นอีกแนวโน้มสำคัญที่เราจะได้เห็นมากขึ้นครับ ไม่ใช่แค่นักลงทุนสถาบันที่พยายามปรับพอร์ตลงทุน โดยลดหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง

นักลงทุนรายย่อยเองก็เริ่มให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตโฟลิโอคาร์บอนต่ำเพิ่มขึ้นตามครับ โดยพยายามมุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์หรือกิจการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำมากขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การลงทุนผ่านตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green bond) ตราสารหนี้เพื่อสังคม หรือหุ้นของบริษัทที่การปล่อยคาร์บอนต่ำ เป็นต้น สอดคล้องกับผลสำรวจความคิดเห็นของ Morningstar ที่ระบุว่า เจ้าของสินทรัพย์ 2 ใน 3 หรือ 67% เชื่อว่า ประเด็น ESG มีความสำคัญต่อนโยบายการลงทุนมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ เนื่องจากเชื่อว่าประเด็นนี้มาพร้อมโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน เพราะฉะนั้น ประเด็นนี้จะเป็นแรงกดดันทำให้บริษัทที่กำลังหรือมีแผนจะระดมทุนเพิ่ม ต้องพยายามปรับปรุงการดำเนินงานไปสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำ มิฉะนั้น อาจจะระดมทุนยากขึ้น

ส่วนประเด็นสุดท้าย เรื่องเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน มีแนวโน้มได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนครับ เพราะนานาประเทศและองค์กรทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับประเด็น ESG เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมิติสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการน้ำ เป็นต้น สอดรับกับเป้าหมายที่โลกจะต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยี เพื่อให้การลดก๊าซเรือนกระจกสามารถทำได้รวดเร็วขึ้น โดยเทคโนโลยีที่คาดว่ายังคงมาแรงต่อเนื่องจะเกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน เศรษฐกิจหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทาน การดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ยานยนต์ไฟฟ้าหรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เชื้อเพลิงที่ยั่งยืน เป็นต้น

ทั้ง 3 ประเด็นที่ผมหยิบยกมานี้ ล้วนมีความสำคัญกับการลงทุนทั้งสิ้นครับ เพราะเป็นประเด็นที่มาพร้อมโอกาสและความท้าทายให้นักลงทุนต้องปรับตัว เพื่อให้แน่ใจว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งในปี 2567 นี้ นักลงทุนคงจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ ESG และ Climate ที่เรานำมาเป็นทางเลือกในการลงทุนเพิ่มเติมอย่างแน่นอนครับ

บทความโดย ศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ที่มา https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/grow-your-wealth/3-esg-concern-investor-2024.html?wcmmode=disabled&12


กำลังโหลดความคิดเห็น