xs
xsm
sm
md
lg

สตาร์บัคส์ เปิด "ร้านกาแฟเพื่อชุมชน" สาขา 2 ที่ไอคอนสยาม ตั้งเป้าขยายครบ 8 สาขา ภายในปี 2573

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พลิกโฉม ร้านสตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ เจ้าพระยา รีเวอร์ฟร้อนท์ ไอคอนสยาม เป็น ร้านกาแฟสตาร์บัคส์เพื่อชุมชน (Starbucks Community Store) แห่งที่ 2 ในประเทศไทย
สตาร์บัคส์ ประเทศไทย เฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีแห่งการสร้างสัมพันธภาพกับผู้คน การยกระดับชุมชนท้องถิ่น และการรังสรรค์กาแฟและเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง ประกาศพลิกโฉมร้านสตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ เจ้าพระยา รีเวอร์ฟร้อนท์ ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สู่การเป็นร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งที่ 2 ของประเทศไทย พร้อมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองสุดพิเศษสำหรับสมาชิก Starbucks® Rewards ระหว่างวันที่ 7-8 กรกฎาคม สะท้อนความมุ่งมั่นและทุ่มเทของสตาร์บัคส์ที่มีต่อลูกค้าในประเทศไทย


การเดินทางกว่า 25 ปีของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย ทำให้แบรนด์มีร้านสาขาทั่วประเทศถึง 465 สาขา มีพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) กว่า 4,300 คนที่ร่วมกันส่งมอบ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ในทุกวัน สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ซึ่งให้บริการลูกค้ามากกว่า 800,000 คนในทุกสัปดาห์ ยังคงเดินหน้าในการสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับลูกค้าและชุมชน พร้อมมองหาโอกาสในการสร้างสัมพันธภาพที่มากขึ้นผ่านแก้วกาแฟ

นางเนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ขอขอบคุณลูกค้าและพาร์ทเนอร์ที่ให้การสนับสนุนแบรนด์สตาร์บัคส์อย่างต่อเนื่องด้วยดีตลอดมา สตาร์บัคส์มุ่งมั่นในการสร้างสัมพันธภาพกับลูกค้า และชุมชนหลากหลายวัฒนธรรม พร้อมยกระดับการรังสรรค์กาแฟและเครื่องดื่มที่ดีของเราต่อไปในอนาคต”

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนร้านสาขาจนครบ 800 แห่ง พร้อมกับร้านกาแฟเพื่อชุมชนครบ 8 แห่งภายในปี พ.ศ. 2573 เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะเร่งการเติบโตในไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีพลวัตมากที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่ไปกับการกระชับความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น


๐ การเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีและสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะภายในงานเท่านั้น

งานเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีสำหรับลูกค้าสมาชิก Starbucks® Rewards จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 กรกฎาคม ณ สุราลัย ฮอลล์ ห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม ชั้น 7 ซึ่งสมาชิก Starbucks® Rewards ที่มาร่วมงานจะได้เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมพิเศษต่างๆ รวมถึงการชิมกาแฟสุดพิเศษ อย่าง กาแฟ พรินซี เบลนด์ (Princi™ Blend), กาแฟรีเสิร์ฟ กาลาปากอส ลา ตอร์ตูกา (Reserve Galapagos La Tortuga) และของสะสมพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะในงานเท่านั้น อาทิ Bling Cold Cup ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี และสินค้าชุมชนท้องถิ่น ซึ่งประกอบไปด้วย คอลเลคชั่นเบญจรงค์ และกระเป๋าสานผักตบชวา สมาชิก Starbucks® Rewards ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมโดยซื้อตั๋วเข้างานได้ที่ทางเข้างาน

๐ พลิกโฉม ไอคอนสยาม แฟล็กชิปสโตร์ เพื่อยกระดับสัมพันธภาพชุมชน

ร้านกาแฟสตาร์บัคส์เพื่อชุมชน (Starbucks Community Store) ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นร้านสาขาที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้พาร์ทเนอร์ สามารถเป็นส่วนหนึ่งและมีส่วนร่วมกับชุมชนในรูปแบบเฉพาะซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละร้านสาขา สำหรับร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งใหม่ที่ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนี้ จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าให้กับชุมชนท้องถิ่น ผ่านรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบแบ่งปันรายได้ โดย 10 บาท จากการจำหน่ายกาแฟทุกแก้วจะได้รับการแบ่งปันอย่างเท่าเทียมกันให้แก่ 2 องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งได้แก่ มูลนิธิพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (Integrated Tribal Development Foundation – ITDF) และ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (Scholars of Sustenance – SOS) นอกจากนี้ ร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งใหม่นี้ ยังสอดคล้องกับพันธกิจของสตาร์บัคส์ที่จะเปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนให้ได้ทั้งหมด 1,000 แห่งทั่วโลกภายในปี พ.ศ.2573

“ร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งใหม่ที่ไอคอนสยาม สะท้อนคำมั่นสัญญาของแบรนด์สตาร์บัคส์ในการสร้างความเป็นไปได้แบบไร้ขีดจำกัดเพื่อการเชื่อมโยงสัมพันธภาพระหว่างผู้คน และการก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของไทย” นางเนตรนภา กล่าวเสริม

๐ ความร่วมมือในการสนับสนุนและร่วมกันยกระดับชุมชนที่เปี่ยมคุณค่า

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย มุ่งมั่นสนับสนุนโครงการที่สร้างผลกระทบที่เปี่ยมไปด้วยความหมายกับชุมชนท้องถิ่น โดยต่อยอดจากความตั้งใจของบริษัท ที่จะยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือทำงานร่วมกับเรา ตั้งแต่ชุมชนชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟ ไปจนถึงเพื่อนบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงร้านสาขา

นับตั้งแต่เปิดร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งแรกที่หลังสวน กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ.2556 สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ได้มอบเงินสนับสนุนไปแล้วกว่า 17 ล้านบาท ให้แก่ชุมชนไร่กาแฟในภาคเหนือของประเทศไทย ผ่านมูลนิธิพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (ITDF) โดยทางมูลนิธิฯ ได้นำเงินไปใช้กับโครงการต่างๆ เช่น น้ำดื่มสะอาด โรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวก การฝึกอบรมชาวบ้านและผู้ประสานงานด้านการเพาะปลูกกาแฟ เพื่อสนับสนุนการควบคุมคุณภาพกาแฟ และหลักปฏิบัติ C.A.F.E. ในกลุ่มชาวไร่กาแฟ ทั้งนี้ การสนับสนุนนี้เกิดจากการดำเนินธุรกิจแบบแบ่งปันรายได้ ซึ่งมาจาก 5% ของยอดขายเมล็ดกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ และ 10 บาทจากการจำหน่ายเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ทุกแก้วที่จำหน่ายในร้านกาแฟเพื่อชุมชนแห่งแรก

นอกจากนี้ ด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้ทุกคนได้เข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และการลดปริมาณขยะจากอาหาร สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) เพื่อรวบรวมอาหารที่ยังไม่ได้จำหน่ายจากร้านสตาร์บัคส์สาขาที่ร่วมรายการในกรุงเทพฯ หัวหิน เชียงใหม่ และภูเก็ต และส่งมอบให้กับชุมชนที่ต้องการ โดยนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2565 จนถึงปัจจุบัน อาหารกว่า 18,000 กิโลกรัมได้ถูกส่งต่อไปยังชุมชนที่ขาดแคลน และมูลนิธิสตาร์บัคส์ ยังได้บริจาคเงินอีกกว่า 1.45 ล้านบาท (44,620 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) สนับสนุนโครงการครัวรักษ์อาหาร (SOS Rescue Kitchen) เพื่อส่งเสริมโภชนาการอาหารในชุมชนอีกด้วย

นอกจากการทำงานร่วมกับมูลนิธิพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (ITDF) และ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) แล้ว สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ยังได้ร่วมงานกับมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก (Books for Children) เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ผ่านกิจกรรมการอ่านในชุมชน การจัดสรรมุมหนังสือ และห้องสมุดให้กับชุมชนมาอย่างยาวนาน และเมื่อเร็วๆ นี้ โครงการเงินช่วยเหลือชุมชนทั่วโลก (Global Community Impact Grants) จากมูลนิธิสตาร์บัคส์ ก็ได้สนับสนุนการขยายโครงการ Reading Hero สู่เยาวชนและครอบครัวในชุมชนด้อยโอกาส อีกด้วย

ร้านกาแฟสีเขียว (Starbucks Greener Store) ในประเทศไทย
๐ การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการให้มากกว่าที่รับ

สตาร์บัคส์ ประเทศไทย มุ่งมั่นส่งต่ออนาคตที่ยั่งยืนผ่านการลดการปล่อยคาร์บอน น้ำเสีย และของเสีย โดยเริ่มจากการปฏิบัติตามแนวทาง ร้านกาแฟสีเขียว (Starbucks Greener Store) ในประเทศไทย

แนวทางการดำเนินงานดังกล่าว สตาร์บัคส์ ได้พัฒนาร่วมกับ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund-WWF) ซึ่งประกอบด้วยชุดมาตรฐานที่อิงตามผลการปฏิบัติงาน 25 ชุดที่ครอบคลุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลากหลายด้าน เช่น ประสิทธิภาพพลังงาน การดูแลน้ำ และการแยกของเสีย ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่ร้านสาขาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง และสนับสนุนเป้าหมายปี พ.ศ. 2573 ของสตาร์บัคส์ ในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากการผลิตหรือการให้บริการ (Carbon Footprint) พร้อมลดการใช้น้ำและของเสียลง 50%

ปัจจุบัน สตาร์บัคส์ ประเทศไทยได้รับรองร้านกาแฟสีเขียวทั้งหมด 3 แห่งที่ดำเนินการโดยใช้ไฟฟ้าที่มีความสามารถในการตรวจสอบพลังงานที่แม่นยำ เพื่อระบบการจัดการพลังงาน (Energy Management System-EMS) อย่างละเอียด ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์เพื่อรักษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้พลังงานในระดับสูง ระบบนี้จะช่วยให้ร้านค้าสามารถระบุจุดการใช้พลังงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยควบคุมและอนุรักษ์การใช้พลังงานต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ยังสนับสนุนทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นให้กับลูกค้าผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการบรรจุภัณฑ์สำหรับใช้ในร้าน (For-Here-Ware) และการรณรงค์การใช้ Reusable Cup โดยลูกค้าที่นำแก้วส่วนตัวมาซื้อเครื่องดื่มที่ร้านจะได้รับส่วนลด 10 บาท รวมถึง โครงการ Grounds for Your Garden ที่ลูกค้าสามารถรับถุงกากกาแฟไปบำรุงสวนที่บ้านได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

“อนาคตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเติบโตทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการส่งต่อสิ่งดีๆ ให้แก่ครอบครัวและชุมชนชาวไร่กาแฟ การดูแลความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพาร์ทเนอร์ การรักษาสัมพันธภาพของผู้คนที่มีต่อกาแฟ การรังสรรค์กาแฟและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า การส่งคืนสิ่งดีๆ มากกว่าสิ่งที่เราเคยได้รับให้กับผู้คนและโลก และการยกระดับชุมชนของเราผ่านการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่อสังคม สตาร์บัคส์ ประเทศไทย พร้อมทำงานร่วมกับทุกคน ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไปจนถึง พาร์ทเนอร์ ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ และชุมชนท้องถิ่นผ่านเครื่องดื่มทุกแก้ว ทุกบทสนทนา และกับทุกชุมชนท้องถิ่น” นางเนตรนภา กล่าว