เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย คว้ารางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม 2564 (TAQA 2021) ด้านภาพลักษณ์ ในประเภทเทคโลยีระดับสูง ซึ่งทำได้เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ถือว่าเป็นอีกข้อยืนยันถึงความมุ่งมั่น ไม่หยุดนิ่งที่จะคิดค้นการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ ทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกรุ่นสัมผัสได้ถึงความล้ำหน้า ทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และรู้สึกปลอดภัยสูง
มร.โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลประเภทเทคโนโลยีระดับสูง (High Technology) ซึ่งรางวัลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นภายใต้พันธกิจที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญเสมอมา นั่นก็คือการที่เราไม่หยุดนิ่งที่จะคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูง ภายใต้ซับแบรนด์ ได้แก่ Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG เพื่อนำเสนอประสบการณ์ลักชัวรีในรูปแบบที่หลากหลายและแตกต่างกันอย่างดีที่สุดให้กับเจ้าของรถยนต์ของเราผ่านทางรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่มีความล้ำหน้า ทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมอบความปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์
ก้าวสู่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ภายในทศวรรษนี้
เมื่อโลกในยุคดิจิทัลก้าวเร็ว ผู้ใช้รถยนต์ทั่วโลกหันมาใส่ใจกับยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้นโยบายระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวทั่วโลกภายในทศวรรษนี้และจะเปิดตัวโครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 3 แบบภายในปี 2568 ได้แก่
MB.EA ครอบคลุมรถยนต์นั่งขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ทั้งหมด โดยสร้างระบบโมดูลาร์ที่ปรับขนาดได้เพื่อเป็นแกนหลักไฟฟ้าสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ EV ในอนาคต
AMG.EA จะเป็นแพลตฟอร์มของรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงสำหรับลูกค้า Mercedes-AMG ที่ให้ความสำคัญทั้งเรื่องเทคโนโลยีและสมรรถนะ
VAN.EA เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของรถตู้ไฟฟ้าและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการขนส่งและเมืองที่ปลอดมลพิษในอนาคต
อีคิวเอส โดย เมอร์เซเดส-อีคิว
อีวีคันแรกผลิตในไทย 100%
มร.โรลันด์ โฟล์เกอร์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้มีการเตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับกลยุทธ์นี้มาก่อนแล้ว ทั้งการ
เตรียมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานประกอบรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยรถยนต์รุ่น EQS จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100%คันแรกจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ผลิตในประเทศไทย
“นอกจากนี้ เรายังมีการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2562 ต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรี ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายในแต่ละเซกเมนต์สูงสุด”
ปัจจุบันมีดีมานด์รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากผู้บริโภคทั่วโลก เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมแล้วที่จะก้าวสู่ยุคใหม่อย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้จะขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละประเทศ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและความล้ำหน้าทางนวัตกรรมของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในทุกรุ่นต่อไป เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดให้กับผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกคน
เป้าหมายที่มั่นคงของเมอร์เซเดส-เบนซ์
ประธานบริหาร เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภายใต้แผนระยะยาวที่เราวางไว้ดังที่ได้กล่าวมา เมอร์เซเดส-เบนซ์จะยังคงความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ระดับลักชัวรี ซึ่งเราจะโฟกัสไปที่ภารกิจในการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องผลิตภัณฑ์และบริการผ่านช่องทางดิจิทัล การนำเสนอประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตที่ดียิ่งกว่า และผ่านการสร้างสรรค์รถยนต์ที่ลูกค้าจะภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ เป็นรถยนต์ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของสุนทรียะ สมรรถนะ เทคโนโลยี นวัตกรรมและความยั่งยืน เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า โดยคำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
“เราเน้นย้ำว่ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากเมอร์เซเดส-เบนซ์จะมอบทั้งความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของผู้ขับขี่เสมอ”
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ชูการขับเคลื่อนธุรกิจ
รูปแบบใหม่สู่ความยั่งยืน
ประธานบริหารฯ เผยอีกว่า อุตสาหกรรมยานยนต์เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก ทุกวันนี้ผู้บริโภคสามารถค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ทุกอย่างได้ทางออนไลน์ นี่จึงเป็นที่มาให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ตัดสินใจประกาศจุดยืนเพื่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
ทั้งนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับทิศทางการทำธุรกิจในรูปแบบของการเพิ่มความหลากหลายทางการขายและการบริการ เมอร์เซเดส-เบนซ์สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและขั้นตอนการซื้อรถยนต์ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง จากการวิจัยของเรา ลูกค้ามากถึง 97% เลือกค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนมาที่โชว์รูม และลูกค้าจำนวน 50% ยังเลือกสำรวจรายละเอียดของรถยนต์แบบดิจิทัล (digital navigation) ก่อนมาชมรถยนต์คันจริง
นั่นหมายความว่า การสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนที่จะเชื่อมต่อลูกค้ามายังศูนย์บริการเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งด้วยแรงผลักดันจากความเปลี่ยนแปลงในเรื่องพฤติกรรมของลูกค้าดังกล่าวนี้ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล และการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงวางเป้าหมายที่จะรีเซ็ตเครือข่ายของเราเพื่อรองรับการขายในรูปแบบใหม่
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ตั้งเป้าเพิ่มความหลากหลายของการขายและการบริการภายใต้หลักการของความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนวิธีการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ใน 5 ส่วน ได้แก่ การคิดและทำในสไตล์แบรนด์ลักชัวรี - ด้วยพฤติกรรมการซื้อและการเป็นเจ้าของแบรนด์ลักชัวรีของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงพร้อมเสนอแนวทางใหม่ในการทำธุรกิจเพื่อตอบรับความคาดหวังของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น