xs
xsm
sm
md
lg

ไทยพร้อมหรือยัง! อียู เตรียมคลอดกฎหมายมาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากกรณีสหภาพยุโรป หรืออียู เผยแพร่ร่างกฎหมายว่าด้วยมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon border Adjustment Mechanism -CBAM) จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมส่งออกสินค้าที่ใช้พลังงานเข้มข้นในการผลิตมีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากการถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือ “ค่าปรับ” ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสินค้าเพื่อให้ได้มาตรฐานการผลิตที่ปลอดคาร์บอนตามที่รัฐบาลสหภาพยุโรปกำหนด

ล่าสุด อียูอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นการใช้มาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน โดยกำหนดให้ยื่นข้อคิดเห็นภายใน 18 พ.ย.นี้

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ อียู ได้เปิดรับฟังความเห็นต่อร่างกฎหมายมาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) โดยกำหนดให้ผู้ที่สนใจ หรือมีข้อกังวลต่อมาตรการสามารถส่งความเห็นได้จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 18 พ.ย. 2564 (เวลาบรัสเซลส์) ซึ่งกรมฯ เองก็อยู่ระหว่างจัดทำความเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะข้อกังวลในเรื่องความสอดคล้องกับกติกาขององค์การการค้าโลก (WTO) ความสุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างผู้นำเข้ากับผู้ผลิตในอียู และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแก่การค้าระหว่างสองฝ่าย เป็นต้น และขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการแจ้งความเห็นหรือข้อกังวลต่อมาตรการ CBAM ไปที่อียูภายในเวลาที่กำหนดด้วย

กรมฯ ย้ำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าไทยไปอียูควรเตรียมความพร้อมในการปรับตัวรับมาตรการ CBAM ที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งรัฐและเอกชนจะต้องร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกระบวนการผลิตไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใช้พลังงานทางเลือกที่ปกป้องสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมากรมฯ ได้ประสานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อเตรียมรับมือในเบื้องต้นแล้ว

ร่างกฎหมายดังกล่าว อียูกำหนดใช้กับสินค้านำเข้า 5 ชนิด ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม ต้องซื้อใบรับรอง CBAM ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อกระตุ้นให้ประเทศผู้ส่งออกเร่งผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมตามที่อียูกำหนด โดยมาตรการ CBAM จะมีผลบังคับใช้ในปี 2566 เริ่มจากในช่วง 3 ปีแรก (2566-2568) ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ผู้นำเข้าจะต้องแจ้งข้อมูลปริมาณการนำเข้าและปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านำเข้าต่ออียู และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 จะเริ่มบังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ผู้นำเข้าต้องซื้อและส่งมอบใบรับรอง CBAM ให้หน่วยงานผู้มีอำนาจของประเทศสมาชิกอียู และมีความเป็นไปได้มากที่หลังจากนั้นอียูจะขยายมาตรการให้ครอบคลุมไปถึงสินค้าประเภทอื่นๆ

มาตรการ CBAM ปัจจุบันเป็นหนึ่งในประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทยกำลังจับตามองเป็นพิเศษเนื่องจากเกรงว่าอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปต้องเผชิญกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด และทำให้ภาคอุตสาหกรรมส่งออกสินค้าที่ใช้พลังงานเข้มข้นในการผลิตมีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากการถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสินค้าเพื่อให้ได้มาตรฐานการผลิตที่ปลอดคาร์บอนตามที่อียูกำหนด


ทำไมต้องมีกฎหมายฉบับนี้?

คณะกรรมาธิการยุโรปมองว่ากฎหมาย CBAM มีความจำเป็นเนื่องจากการเร่งให้ลดการปล่อยก๊าซฯ ภายในภูมิภาคยุโรปทั้งระบบตามแผนที่วางเอาไว้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหา “Carbon leakage” ตามมาจากการที่ภาคอุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตออกจากสหภาพยุโรปไปยังประเทศที่มีนโยบายการควบคุมการปล่อยก๊าซฯ ที่เข้มงวดน้อยกว่าและส่งสินค้ากลับเข้ามาขายที่สหภาพยุโรปแทน ซึ่งจะกระทบต่อความพยายามในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศของยุโรป รวมถึงของโลกในภาพรวม โดยออกแบบให้กฎหมาย CBAM เป็นกลไกชดเชยความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและปรับระดับความสามารถในการแข่งขันระหว่างบริษัทในสหภาพยุโรปกับบริษัทนอกสหภาพยุโรปให้เท่าเทียมกัน โดยกำหนดราคาคาร์บอนสำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศที่มีมาตรฐานการลดปริมาณคาร์บอนที่ต่ำกว่าสหภาพยุโรปในอัตราที่เทียบเท่ากับสินค้าชนิดเดียวกัน (like products) ที่ผลิตในประเทศ เพื่อให้มีต้นทุนทางคาร์บอนที่ทัดเทียมกับสินค้าที่ผลิตในสหภาพยุโรป

สาระสำคัญของร่างกฎหมาย CBAM
มาตรการ CBAM เป็นการขยายระบบ “ตลาดการค้าคาร์บอนภายในของสหภาพยุโรป” หรือ EU Emission Trading System (EU ETS) ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้าบางประเภทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย และไฟฟ้า โดยมีหลักการคือ ผู้นำเข้าสินค้าจากนอกสหภาพยุโรป (ยกเว้น ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์) จะต้องซื้อ “ใบรับรองการปล่อยก๊าซคาร์บอน” หรือ “CBAM certificates”เพื่อเป็นการจ่ายค่าธรรมเนียม หรือ “ค่าปรับ” ในการปล่อยก๊าซฯ โดยราคาของใบรับรองฯ จะคำนวณจากราคาประมูลเฉลี่ยรายสัปดาห์ของ EU ETS allowances ที่คณะกรรมาธิการยุโรปจะเป็นผู้กำหนด (หน่วย: ยูโร/การปล่อย CO2 1 ตัน)

โดยในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน (transitional period) คือ 1 ม.ค. 2566 – 31 ธ.ค. 2568 จะให้ผู้นำเข้ารายงานปริมาณการนำเข้าและปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่นำเข้าก่อน โดยยังไม่ต้องจ่าค่าธรรมเนียม และจะเริ่มใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป กล่าวคือ ผู้นำเข้าสินค้ามาจำหน่ายในตลาดสหภาพยุโรปจะต้องทำรายงานประจำปีแจ้งจำนวนสินค้าที่นำเข้า และปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าดังกล่าวในช่วงปีที่ผ่านมา พร้อมส่งให้หน่วยงานกำกับดูแลของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปภายในวันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี และต้องทำการจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอนด้วย CBAM certificates

อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวได้เปิดช่องให้ประเทศที่มีการใช้มาตรการกำหนดราคาคาร์บอนอยู่แล้ว สามารถหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการปรับคาร์บอนของสหภาพยุโรปได้ โดยหากผู้ผลิตสินค้าสามารถแสดงได้ว่า สินค้าถูกปรับคาร์บอนในประเทศที่สามแล้ว ผู้นำเข้าก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการปรับคาร์บอนของสหภาพยุโรปได้ ทั้งนี้ ผู้ผลิตสินค้าต้องแจ้งปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนแก่ผู้นำเข้าสินค้าในกรณีที่ไม่มีข้อมูลดังกล่าว สหภาพยุโรปจะใช้ข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ที่เป็น default value ของแต่ละผลิตภัณฑ์แทน เพื่อเป็นตัวกำหนดจำนวนใบรับรองฯ ที่ผู้นำเข้าต้องซื้อ

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังกำหนดให้สหภาพยุโรปมีอำนาจที่จะทบทวนกฎหมายดังกล่าวอีกครั้งในปี 2569 และพิจารณาประกาศบังคับใช้ระบบ CBAM เพิ่มเติมกับสินค้าหรือบริการอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทานที่มีลักษณะซับซ้อนกว่า รวมทั้งอาจมีการพัฒนาเงื่อนไขที่มีความเข้มงวดมากขึ้น อาทิ การคิดค่าคาร์บอนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (indirect emissions) เช่น การใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิต

หลายประเทศแสดงความห่วงกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
เนื่องจากมาตรการ CBAM เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีผลกระทบโดยตรงต่อการค้าระหว่างประเทศ จึงเป็นที่จับตามองอย่างมากในระดับสากล ที่ผ่านมา หลายประเทศ อาทิ จีน รัสเซีย ตุรกี บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ ได้ออกมาวิจารณ์ร่างกฎหมายฉบับนี้ว่าอาจขัดกับพันธกรณีของสหภาพยุโรปที่มีต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เนื่องจากภายใต้หลัก national treatment รัฐจะต้องปฏิบัติต่อสินค้านำเข้ากับสินค้าในประเทศอย่างเท่าเทียมกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ห้ามมิให้เลือกปฏิบัติระหว่างสินค้าในประเทศ (domestic goods) กับสินค้านำเข้า (imported goods) หากว่าการปฏิบัติที่แตกต่างกันมีผลกระทบต่อโอกาสหรือความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ล่าสุด โฆษกกระทรวงสิ่งแวดล้อมของจีนได้ออกมาระบุว่า “CBAM เป็นมาตรการแบบฝ่ายเดียวที่พยายามนำเรื่องสภาพภูมิอากาศมาเชื่อมโยงกับการค้า ซึ่งขัดต่อหลักการของ WTO อีกทั้งยังจะทำให้เกิดการบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันในสังคมโลก รวมถึงส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ”

เพื่อลดข้อโต้แย้งดังกล่าว คณะกรรมาธิการยุโรปจึงได้เสนอให้มีการยกเลิก (phase out) ใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบให้เปล่าสำหรับภาคอุตสากรรมสหภาพยุโรปที่มีการใช้พลังงานสูงในการผลิตภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ท่ามกลางการจับตามองอย่างใกล้ชิดว่ามาตรการ CBAM จะเป็นที่ยอมรับภายใต้กฎของ WTO หรือไม่ โดยในลำดับต่อไป ร่างกฎหมายฯ จะเข้าสู่การพิจารณาของสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสภาพยุโรป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ให้ทันภายในปี 2566

ท้ายที่สุดแล้ว สหภาพยุโรปคาดหวังว่ามาตรการนี้จะช่วยสร้างแรงกดดันสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมภายในสหภาพยุโรป ตลอดจนประเทศต่างๆ ทั่วโลกยกระดับการใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตเพื่อก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน โดยระบุอีกว่าในปัจจุบันทั้งประเทศแคนาดา ญี่ปุ่น หรือแม้แต่สหรัฐฯ ที่แสดงความกังวลต่อมาตรการ CBAM ในช่วงก่อนหน้านี้ ก็กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาออกมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน นอกจากนั้น เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในกลุ่ม G20 ยังได้สนับสนุนให้มีการประสานงานกันระหว่างประเทศต่างๆ ในเรื่องการใช้มาตรการกำหนดราคาคาร์บอน (carbon pricing mechanisms) อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย CBAM ของที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา
หรือ UNCTAD (2021) ระบุว่าแม้ว่ากลไก CBAM อาจจะช่วยป้องกันปัญหา “การรั่วไหลของคาร์บอน” ได้ แต่ผลเชิงบวกต่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศนั้นมีเพียงจำกัด โดยวิเคราะห์ว่าจะช่วยให้การปล่อย CO2 ทั่วโลกลดลงเพียงร้อยละ 0.1 แต่จะส่งผลให้การผลิต/ส่งออกในประเทศกำลังพัฒนาขาดความคล่องตัวและมีต้นทุนสูงขึ้น และที่สำคัญไปกว่านั้น ยังจะทำให้เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (trade diversion) โดยจะส่งผลดีต่อประเทศที่มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการ CBAM ได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็กจากรัสเซีย จีน ตุรกี เกาหลี และสหราชอาณาจักร อุตสาหกรรมอะลูมิเนียมจากจีนและยูเครน อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ของตุรกี อุตสาหกรรมปุ๋ยในแอฟริกาเหนือและรัสเซีย รวมถึงอุตสาหกรรมไฟฟ้าจากรัสเซียและยูเครน

โดย UNCTAD เห็นว่า วิธีการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด คือ สหภาพยุโรปควรนำรายได้จากมาตรการ CBAM ไปใช้สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลดก๊าซฯ ได้อย่างแท้จริง
ผลกระทบต่อไทย

สำหรับไทย แม้ว่าผลการวิจัยของ UNCTAD พบว่า ไทยไม่ติด 20 อันดับแรกของประเทศที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM มากที่สุด แต่ทิศทางในอนาคต การลดก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมจะเป็นเรื่องที่ภาครัฐและภาคเอกชนมองข้ามไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่า มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ในลักษณะเดียวกับ CBAM จะถูกผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่มีผลบังคับใช้กันทั่วโลก รวมถึงเป็นปัจจัยต่อการเลือกซื้อของผู้บริโภค

จึงจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว และรองรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางเทรนด์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยอาจเร่งจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดการมลพิษและการกักเก็บคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรม

ข้อมูลอ้างอิง

https://europetouch.mfa.go.th/th/content/

https://mgronline.com/business/detail/9640000100327



Credit Clip IASS Potsdam


กำลังโหลดความคิดเห็น