เป็นเรื่องที่ดีเมื่อผู้บริโภคมีความรับผิดชอบในการใช้พลาสติกน้อยลงและทำความสะอาดขยะพลาสติกในชุมชนของตน
แต่จะดีกว่าไหม หากบริษัทที่นำพลาสติกทั้งหมดนั้นเข้าสู่ตลาดและสิ่งแวดล้อมต้องรับผิดชอบในการทำความสะอาด
เพราะขยะพลาสติกส่วนใหญ่มาจากบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มแปรรูปแบบใช้ครั้งเดียว และเมื่อถูกใช้แล้วทิ้งเป็นขยะก็ไปปนเปื้อนซึ่งพบอยู่ทั้งบนดิน และในน้ำ รวมถึงส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทร
พระราชบัญญัติปลอดมลพิษจากพลาสติกปี 2020 จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดมลภาวะของพลาสติกโดยเปลี่ยนความรับผิดชอบจากผู้บริโภคไปสู่ บริษัทผู้ที่ผลิตพลาสติก
การเรียกเก็บเงินที่นำเสนอโดย Sen. Tom Udall (DN.M. ) และ Rep. Alan Lowenthal (D-Calif.) ซึงมีผู้ก่อมลพิษพลาสติกรายใหญ่ เช่น เนสท์เล่ ,เป๊ปซี่โค และ โคคา-โคล่า เป็นต้น สมควรจะรับผิดชอบต่อมลพิษโดยกำหนดให้เป็นทุนสนับสนุนโครงการขยะและรีไซเคิล
นอกจากนี้พระราชบัญญัติปลอดมลพิษจากพลาสติก ( Break Free From Plastic) ยังประกาศห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทั้งหมดที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้และห้ามส่งขยะพลาสติกไปต่างประเทศไปยังประเทศกำลังพัฒนา
มลพิษจากพลาสติกระบาดอย่างหนักในมหาสมุทรของเราจนนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าทะเลจะมีพลาสติกมากกว่าปลาภายในปี 2593 นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดมลพิษในดินและน้ำจืดอีกด้วย
จากการศึกษาวิจัย แสดงให้เห็นว่าพลาสติกเมื่อแตกตัวกลายเป็นไมโครพลาสติกชิ้นเล็กๆ ปนเปื้อนสู่มนุษย์ได้ คนทั่วไปกินไมโครพลาสติกอย่างน้อย 50,000 อนุภาคในแต่ละปี และเราสูดดมในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน
แน่นอนว่า ผู้บริโภคควรซื้อสินค้าอย่างมีความรับผิดชอบ แต่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะให้มีผู้ก่อมลพิษจากพลาสติกรายใหญ่ที่สุดที่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติปลอดมลพิษจากพลาสติก ระบุไว้ว่า
1.กำหนดให้ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ภาชนะและผลิตภัณฑ์บริการด้านอาหารออกแบบจัดการและจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการขยะและรีไซเคิล
2.จัดทำโครงการคืนเงินค่าภาชนะเครื่องดื่มทั่วประเทศ
3.ห้ามผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวบางชนิดที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับถุงหิ้วที่เหลือ
4.กระตุ้นการลงทุนจำนวนมากในโครงสร้างพื้นฐานด้านการรีไซเคิลและปุ๋ยหมักภายในประเทศของสหรัฐฯ
5.ห้ามไม่ให้ส่งขยะพลาสติกไปยังประเทศกำลังพัฒนา
6.หยุดชั่วคราวในโรงงานพลาสติกใหม่จนกว่า EPA จะปรับปรุงและสร้างข้อบังคับที่สำคัญเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้น
จึงเป็นการบอกสภาคองเกรสให้รับผิดชอบผู้ก่อมลพิษพลาสติกด้วยการสนับสนุนการหยุดพลาสติก จาก พ. ร. บ. ปลอดมลพิษ่จากพลาสติกปี 2020
ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2019 รัฐเมน สหรัฐอเมริกา เป็นรัฐแรกที่เตรียมออกกฎหมายห้ามใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก โฟมใส่อาหารของธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร รวมถึงผู้บริโภค ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2021 โดยผู้ที่ละเมิดกฎหมายอาจถูกปรับเป็นเงินถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐ และทำให้รัฐอื่นๆ ตื่นตัวในเรื่องนี้
แต่นั่นครอบคลุมไม่ถึงความรับผิดชอบของผู้ผลิตจำหน่ายแต่อย่างใด
ข้อมูลอ้างอิง https://eshantechnology.xyz/what-if-nestle-and-coke-had-to-clean-up-their-own-plastic-pollution/