สนับสนุน 4 แพลตฟอร์ม “ระบบเจ้าของร่วมผลิต / ระบบการประมูลสินค้าเกษตร / ระบบตลาดออนไลน์ (Marketplace) / ระบบการขายออนไลน์ในรูปแบบ B2B และ B2C” ช่วยระบายสินค้าเกษตร ช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 เพื่อเชื่อมโยงทุกภาคส่วนให้เข้าถึงกันทุกมิติ NIA ชี้เป็นโอกาสสำคัญของสตาร์ทอัพด้านการเกษตร เนื่องจากสามารถนำปัญหาต่างๆ มาพัฒนาเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้
ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 หลายประเทศทั่วโลกใช้นโยบายล็อคดาวน์และชัตดาวน์ ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มผลไม้ในช่วงฤดูร้อนที่เริ่มทยอยออกผลผลิตเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง เงาะ ทุเรียน มังคุด ฯลฯ ซึ่งเมื่อไม่สามารถส่งออกได้ ขณะที่ การสั่งซื้อของร้านอาหารและห้างสรรพสินค้าลดลงเกือบร้อยละ 50 ก่อให้เกิดปัญหาสินค้าล้นตลาด ราคาถูกลง นอกจากนี้ สินค้าเกษตรยังมีระยะเวลาจำกัดเพราะเกิดการเน่าเสียและเสียหายได้ง่าย ปัญหาเหล่านี้จึงเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่หลายภาคส่วนจะต้องเร่งผลักดันภาคการเกษตรให้เดินหน้าต่อได้ภายใต้วิกฤติครั้งนี้ โดยเฉพาะด้านการตลาด การช่วยระบายสินค้า รวมทั้งสร้างทางออกที่เป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว
เพื่อให้ปัญหาของเกษตรกรได้รับการบรรเทา NIA โดย ศูนย์สร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมการเกษตร หรือ ABC center ซึ่งเป็นศูนย์ประสานงานกลางด้านนวัตกรรมการเกษตร และสร้างสตาร์ทอัพด้านการเกษตรให้เติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ จึงสนับสนุนให้เกิดกลไกตลาดผ่านแพลตฟอร์มของสตาร์ทอัพ เพื่อให้เกษตรกรและผู้ผลิตสามารถขายสินค้ากับผู้บริโภคโดยตรง สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1. ระบบเจ้าของร่วมผลิต เช่น ฟาร์มโตะ (FARMTO) ช่องทางการขายผลผลิตเกษตรรูปแบบใหม่ที่เชื่อมเกษตรกรและผู้บริโภคเข้าหากันผ่านวิธีการร่วมเป็นเจ้าของผลผลิตการเกษตร เพื่อให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ช่วยเหลือและดูแลคุณภาพผลผลิตไปด้วยกัน โดยหากผู้บริโภคต้องการตรวจสอบผลผลิตก็สามารถเดินทางมาเยี่ยมชมและติดตามขั้นตอนต่างๆ ได้ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอรี่ และเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะจัดส่งผลผลิตให้ผู้บริโภคตามที่อยู่ที่ลงทะเบียน รวมทั้ง ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรตั้งราคาขายผลผลิตด้วยตนเอง เพื่อแก้ปัญหาภาระหนี้สินและราคาผลผลิตตกต่ำ ทำให้เกษตรกรพัฒนาตัวเองและเรียนรู้ที่จะสร้างแบรนด์สินค้าของตนเองในอนาคต นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถนำแนวคิดดังกล่าวมาต่อยอดใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรได้อีกด้วย
2. ระบบการประมูลสินค้าเกษตร หรือ E-biding เช่น ครอปเปอร์แซด เป็นแพลตฟอร์มที่จะทำให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลความต้องการของตลาด และช่วยยกระดับภาคธุรกิจให้สามารถพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ควบคุมราคา และปริมาณได้ตรงตามความต้องการของตลาด และทำให้สามารถทราบว่าจะมีพืชเกษตรชนิดใดออกช่วงไหน โดยข้อมูลนี้จะช่วยสนับสนุนการสร้างตลาดกับกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะโรงงานแปรรูปที่ต้องการวัตถุดิบเข้าสู่สายการผลิต ซึ่งจะทำให้ทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการมีผลผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง
3. ระบบตลาดออนไลน์ หรือ Marketplace ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าสินค้าของเกษตรกรที่มีคุณภาพ ส่งต่อให้ถึงมือผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น มีแซ่ด (MeZ) ศูนย์กลางเชื่อมโยงและแบ่งปันผลไม้คุณภาพจากเกษตรกร ที่พร้อมส่งผลไม้จากสวน ผ่านการคัดสรรและใส่ใจในทุกขั้นตอนการเพาะปลูก เอิร์ทออร์แกนนิค (Earth Organic) ที่มุ่งเน้นกลุ่มสินค้าเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ มีการควบคุมคุณภาพแบรด์สินค้าร่วมกับเกษตรกร เน้นอัตลักษณ์จากท้องถิ่น ส่งตรงถึงผู้บริโภคด้วยการขนส่งที่มีคุณภาพ
4. ระบบการขายออนไลน์ส่งมอบให้ผู้บริโภคและธุรกิจเกษตร (B2B /B2C) ซึ่งเป็นตัวช่วยสนับสนุนการขายสินค้าเกษตรผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น ฟาร์มบุ๊ค (Farmbook) ระบบนิเวศสังคมเกษตรที่ให้เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ให้บริการ ผู้จัดจำหน่าย ผู้ซื้อ และผู้ปริโภคมารวมตัวกัน เพื่อสร้างการเชื่อมโยงหลากหลายด้าน (Multisided Markets) สามารถเชื่อมกลุ่มคนจากทั่วทุกมุมโลกที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตไว้ด้วยกัน รวมทั้ง ยังมีข้อมูลตลาดที่ชัดเจน ทำให้ทุกขั้นตอนในการซื้อขายมีประสิทธิภาพ เฟรชเก็ต (Freshket) ตลาดสดออนไลน์สำหรับร้านอาหารและผู้บริโภค มีแพลตฟอร์มสำหรับรวบรวมและจำหน่ายอาหารสด สามารถเชื่อมต่อกับร้านอาหาร และผู้บริโภคได้อย่างอิสระตลอด 24 ชั่วโมง และ เนเจอร์ ฟู้ด (Naturefood) แอปพลิเคชั่นสำหรับการซื้อขายข้าวอินทรีย์และสินค้าเกษตรปลอดภัย มีบริการส่งถึงบ้าน และให้บริการส่งออกทั่วโลกแบบ One Stop Service ตลอดจนการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA เพื่อช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าตกต่ำ ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตร รวมทั้งทำให้คนในสังคมมีสุขภาพดี
ดร.พันธุ์อาจ ย้ำว่า “แม้ช่วงการระบาดของโรคโควิด – 19 จะส่งผลกระทบหลายด้าน แต่ในภาวะวิกฤตินี้ยังเป็นโอกาสสำหรับสตาร์ทอัพหรือผู้ที่มีแนวคิดในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมได้หลากหลายประเภทเช่นกัน โดยเฉพาะสตาร์ทอัพในกลุ่มเกษตรกรรม ซึ่งยังถือว่ามีจำนวนไม่มากนักในประเทศไทย นอกจากนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นในภาคการเกษตร NIA ยังมองว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญทั้งระบบตลาด การซื้อขาย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ช่วยแก้ปัญหาเดิมและกำลังจะเกิดใหม่ อีกสิ่งที่สำคัญที่ทุกคนต้องตระหนักคือ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม การต่อยอดหรือประยุกต์อุตสาหกรรมนี้ ยังมีแนวทางและรูปแบบอื่นๆ อีกมาก ซึ่งหากร่วมสนับสนุนกันอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ระบบการเกษตรในประเทศมีความแข็งแกร่ง และสามารถยืนอยู่ได้ในทุกภาวะวิกฤติ”