xs
xsm
sm
md
lg

อวท. หนุนภาคเอกชนใช้นวัตกรรม สร้างจุดแข็งดันสินค้าไทยแข่งตลาดโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) แถลงความสำเร็จ มุ่งสู่การยกระดับเป็นนิคมวิจัยภาคเอกชนที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดในประเทศ พร้อมเดินหน้าเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนทุกระดับ
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน อวท.มีการเปิดพื้นที่ให้บริษัทเอกชนเข้ามาตั้งศูนย์วิจัยกว่า 70 บริษัท โดยคิดเป็นสัดส่วนของบริษัทผู้ประกอบการ SMEs ไทยประมาณ 70% และอีก 30% เป็นบริษัทต่างชาติ (ญี่ปุ่นกว่า 50% รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา เยอรมันและสิงคโปร์ ตามลำดับ)
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา ในส่วนของการลงทุนด้าน R&D ของบริษัทดังกล่าวข้างต้น คิดเป็น 2% ต่อการลงทุน R&D ของภาคเอกชนทั้งหมดในประเทศไทย โดยการลงทุนด้าน R&D ของภาคเอกชนใน อวท. มีมูลค่าอยู่ที่ 805 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ประมาณ 40% ซึ่งสามารถช่วยสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ได้มากถึง 1,340 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของรายได้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบจากปีก่อน
สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2559 ของอวท.นั้น ขณะนี้อยู่ในช่วงการพัฒนา อวท. ระยะที่ 2 ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญใน 3 เรื่องหลักๆ ประกอบด้วย
1.Strengthening Target Industries - นำความสามารถและความเชี่ยวชาญใน อวท. โดยพัฒนาเป็นคลัสเตอร์นวัตกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ (Auto Parts Innovation Cluster, APIC) และสร้างเครือข่ายนวัตกรรมอาหาร (Food Innovation Network, FIN)
2.Enhancing R&D Capability - สนับสนุนบริษัทเอกชนใน อวท.ให้ทำวิจัยได้รวดเร็วและเข้มข้นขึ้น โดยเชื่อมโยงให้เกิดความร่วมมือ เพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ง่ายต่อการเข้าถึง บริการเครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบต่างๆ และกลไกสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น บริการที่ปรึกษาทางเทคโนโลยี (iTAP)
3.Management R&D Estate - โครงสร้างพื้นฐานระดับ world class ที่ตอบโจทย์การทำวิจัยในสาขาต่างๆ ก็คือ อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 (Innovation Cluster 2, INC 2) ซึ่ง INC 2 ประกอบด้วยกลุ่มอาคาร 4 หลังที่เชื่อมต่อกัน มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 124,000 ตร.ม. พื้นที่ใช้สอย 72,000 ตร.ม. โดยในเฟสแรก ได้เปิดให้เอกชนเข้ามาเช่าพื้นที่เพื่อทำวิจัยที่อาคาร D ปัจจุบันมีประมาณ 20 บริษัทเป็นพื้นที่กว่า 70% และคาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าเอกชนจะเข้ามาตั้งศูนย์วิจัยจนเต็มพื้นที่ จะทำให้นิคมวิจัยแห่งนี้เป็นแหล่งรวมบริษัทเอกชนกว่า 150 บริษัท แหล่งรวมนักวิจัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไม่น้อยกว่า 5,000 คน จะเป็นสถานที่ส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงในการทำงานที่ใกล้ชิดขึ้นระหว่าง บริษัทเอกชนกับสถาบันวิจัยของรัฐและสถาบันการศึกษา การวิจัยและวิทยาศาสตร์จะมีศักยภาพในการนำพาประเทศไปสู่การพัฒนานวัตกรรม เศรษฐกิจฐานความรู้
“ปัจจุบันสัดส่วนของกิจกรรมวิจัยและพัฒนาของเอกชนที่ตั้งศูนย์วิจัยใน อวท. แยกตามสายเทคโนโลยี ได้ตามสัดส่วนดังนี้ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ 28% เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ 28% และเทคโนโลยีชีวภาพ 30% เรามุ่งเน้นให้ประชาคมแห่งนี้ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย ทั้งเครือข่ายวิจัย เครือข่ายอุตสาหกรรม เครือข่าย AEC รวมถึงเครือข่ายต่างประเทศ” ดร.เจนกฤษณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม อวท. ถือเป็นนิคมวิจัยแห่งแรกที่มี Innovation Ecosystem ที่สมบูรณ์ที่สุด ด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมบนพื้นที่กว่า 200 ไร่ แวดล้อมด้วยสถาบันการศึกษาชั้นนำ ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยแห่งชาติ 4 ศูนย์ (BIOTEC, NECTEC, MTEC และ NANOTEC) มีนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญกว่า 3,000 คน และยังเป็นแหล่งรวมของบริการด้าน วทน. เช่น ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบต่างๆ บริการทางด้านการเงิน โดย อวท.จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากทั้งสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจกรรมวิจัยได้รวดเร็วขึ้นและมีต้นทุนที่ต่ำลง
“ผมเชื่อมั่นว่า กลยุทธ์การดำเนินงานของ อวท. จะช่วยยกระดับเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้และเติบโตอย่างยั่งยืน” ดร.เจนกฤษณ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น