ขณะนี้ภาคเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกให้ความสำคัญกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสภาพภูมิอากาศ ทรัพยากรน้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงทางด้านพื้นดิน รวมไปถึงสถานการณ์ด้านสารเคมีและขยะ และธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ด้านมลพิษข้ามแดนที่ประเทศต่างๆ ต้องช่วยกันแก้ไข
ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า ประเทศในอาเซียนมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก แต่ก็กำลังเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ เช่น ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งแม้ว่าทรัพยากรมาก แต่ก็มีประชากรมากเช่นกัน หมายความถึงการใช้ทรัพยากรมหาศาลเป็นความท้าทายระหว่างประเทศ ที่อาเซียนควรผนึกกำลังกันแก้ปัญหา
หากไทยต้องการจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สิ่งที่ควรยึดถือคือการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเน้นไปที่การเชื่อมโยงกันของภาคสังคม สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ การที่ทรัพยากรมีจำกัด สิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งให้ความสำคัญก็คือ การทำงบด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ ควรนำหลักการลีนเพื่อสิ่งแวดล้อม (Lean Management for Environment) มาใช้ และต้องเข้าใจการให้ความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ภาระที่เพิ่มขึ้น แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ เพื่อให้องค์กรสามารถยกระดับมาตรฐานของตนได้
ถ้าประเทศไทยจะก้าวไกลใน AEC ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องพัฒนาให้สูงกว่าระดับมาตรฐาน หรือ beyond-standard ซึ่งจะเป็นคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับประเทศไทยในการเข้าถึงตลาดยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา เช่น การได้รับการรับรองฉลากเขียว ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
“ปัจจุบันภาคธุรกิจในหลายประเทศในยุโรป จะพิจารณาคู่ค้ากันตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น ประเทศเยอรมนี ที่มีกฎในการนำเข้าน้ำมันปาล์มว่า หากผลผลิตนั้นได้มาจากการไปแย่งชิงแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคของมนุษย์ก็จะไม่รับซื้อ เป็นต้น”
ทั้งนี้ หลักการลีนเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทางมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย พัฒนาดัดแปลงขึ้น โดยมุ่งเน้นให้ความรู้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐและเอกชน และสถาบันการศึกษา ให้สามารถนําไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตควบคู่กับการจัดการสิ่งแวดล้อม พร้อมไปกับการดําเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งนอกจะช่วยสร้างโอกาสและรายได้เพิ่มขึ้นในทางธุรกิจและปกป้องสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความยั่งยืนแก่ธุรกิจได้อีกด้วย
ใส่ใจทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม
ด้าน ฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า คาดว่าประชากรทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 6 พันล้านคน เป็น 8.3 พันล้านคน และเมื่อประชากรทั่วโลกขยายตัวเพิ่มขึ้น ความต้องการอุปโภคบริโภคจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50% การใช้พลังงานก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกถึง 45% เมื่อถึงเวลานั้น จะหาแหล่งพลังงานใหม่ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดได้อย่างไร จะหาแหล่งน้ำสะอาดที่ไหนมาใช้เพื่อการบริโภค ดาวจึงพยายามตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลก ขณะเดียวกัน ก็มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโลกให้น้อยที่สุดด้วยการนำโซลูชั่นจากนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย เพราะหากสามารถคิดค้นสิ่งที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ ในขณะที่สิ่งแวดล้อมอยู่ไม่ได้ เราเองก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกัน
กลุ่มบริษัท ดาว เชื่อว่า คำตอบของการทำธุรกิจแบบยั่งยืนก็คือวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นตัวแปรหลักที่ตอบโจทย์ด้านความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้ โดยมีจุดประสงค์ คือ จะทำอย่างไรให้การดำรงชีวิตอยู่ของผู้คนบนโลกเป็นไปในทางที่ดีขึ้น กลุ่มบริษัทดาวได้ตั้งเป้าหมายทางธุรกิจแบบยั่งยืนที่ชัดเจนมากมาตั้งแต่ปี 2538 โดยเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2548 จะปรับเปลี่ยนและสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ฉัตรชัย กล่าวว่า “พอย่างเข้าปี 2548 ก็ตั้งเป้าหมายต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือปี 2558 โดยขยายขอบข่ายความยั่งยืนจากภายในสู่ภายนอก นั่นก็คือ การส่งต่อความยั่งยืนไปยังลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และการบริการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงการใช้พลังงาน ขณะเดียวกัน ก็ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การที่สามารถใช้ความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ประกอบกับการทำงานร่วมกันกับลูกค้า ในการพัฒนาระบบที่ทำให้ผู้คนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ที่ขาดแคลนน้ำ สามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดได้ เช่น การทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด ในแถบตะวันออกกลาง
ปัจจุบัน ดาว มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 6,000 รายการที่จำหน่ายอยู่ในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก มีสำนักงานทั้งหมด 35 แห่งในเอเชีย และมีโรงงานทั้งหมด 41 โรงงาน ใน 12 ประเทศ และเหตุผลสำคัญกลุ่มบริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง เพราะการทำธุรกิจแบบยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทดาวจะไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ หากบริษัทคู่ค้าไม่แข็งแรง ดังนั้น สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือการช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีความแข็งแกร่ง ด้วยการกระตุ้นให้ภาคธุรกิจ SMEs ใส่ใจด้านทรัพยากรและหลักการลีนเพื่อสิ่งแวดล้อม การเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในภาคส่วนต่างๆ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาได้เห็นหลักการตรงนี้ก็คือ การทำให้ทั้งซัปพลายเชนมีความสมบูรณ์แข็งแรง
ดร.ขวัญฤดี โชติชนาทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า ประเทศในอาเซียนมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก แต่ก็กำลังเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ เช่น ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งแม้ว่าทรัพยากรมาก แต่ก็มีประชากรมากเช่นกัน หมายความถึงการใช้ทรัพยากรมหาศาลเป็นความท้าทายระหว่างประเทศ ที่อาเซียนควรผนึกกำลังกันแก้ปัญหา
หากไทยต้องการจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สิ่งที่ควรยึดถือคือการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเน้นไปที่การเชื่อมโยงกันของภาคสังคม สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ การที่ทรัพยากรมีจำกัด สิ่งที่ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งให้ความสำคัญก็คือ การทำงบด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ ควรนำหลักการลีนเพื่อสิ่งแวดล้อม (Lean Management for Environment) มาใช้ และต้องเข้าใจการให้ความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ภาระที่เพิ่มขึ้น แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ เพื่อให้องค์กรสามารถยกระดับมาตรฐานของตนได้
ถ้าประเทศไทยจะก้าวไกลใน AEC ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องพัฒนาให้สูงกว่าระดับมาตรฐาน หรือ beyond-standard ซึ่งจะเป็นคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับประเทศไทยในการเข้าถึงตลาดยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา เช่น การได้รับการรับรองฉลากเขียว ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
“ปัจจุบันภาคธุรกิจในหลายประเทศในยุโรป จะพิจารณาคู่ค้ากันตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น ประเทศเยอรมนี ที่มีกฎในการนำเข้าน้ำมันปาล์มว่า หากผลผลิตนั้นได้มาจากการไปแย่งชิงแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคของมนุษย์ก็จะไม่รับซื้อ เป็นต้น”
ทั้งนี้ หลักการลีนเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทางมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย พัฒนาดัดแปลงขึ้น โดยมุ่งเน้นให้ความรู้แก่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐและเอกชน และสถาบันการศึกษา ให้สามารถนําไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตควบคู่กับการจัดการสิ่งแวดล้อม พร้อมไปกับการดําเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งนอกจะช่วยสร้างโอกาสและรายได้เพิ่มขึ้นในทางธุรกิจและปกป้องสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความยั่งยืนแก่ธุรกิจได้อีกด้วย
ใส่ใจทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม
ด้าน ฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า คาดว่าประชากรทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 6 พันล้านคน เป็น 8.3 พันล้านคน และเมื่อประชากรทั่วโลกขยายตัวเพิ่มขึ้น ความต้องการอุปโภคบริโภคจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50% การใช้พลังงานก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกถึง 45% เมื่อถึงเวลานั้น จะหาแหล่งพลังงานใหม่ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดได้อย่างไร จะหาแหล่งน้ำสะอาดที่ไหนมาใช้เพื่อการบริโภค ดาวจึงพยายามตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลก ขณะเดียวกัน ก็มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโลกให้น้อยที่สุดด้วยการนำโซลูชั่นจากนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย เพราะหากสามารถคิดค้นสิ่งที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ ในขณะที่สิ่งแวดล้อมอยู่ไม่ได้ เราเองก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกัน
กลุ่มบริษัท ดาว เชื่อว่า คำตอบของการทำธุรกิจแบบยั่งยืนก็คือวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นตัวแปรหลักที่ตอบโจทย์ด้านความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้ โดยมีจุดประสงค์ คือ จะทำอย่างไรให้การดำรงชีวิตอยู่ของผู้คนบนโลกเป็นไปในทางที่ดีขึ้น กลุ่มบริษัทดาวได้ตั้งเป้าหมายทางธุรกิจแบบยั่งยืนที่ชัดเจนมากมาตั้งแต่ปี 2538 โดยเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2548 จะปรับเปลี่ยนและสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ฉัตรชัย กล่าวว่า “พอย่างเข้าปี 2548 ก็ตั้งเป้าหมายต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือปี 2558 โดยขยายขอบข่ายความยั่งยืนจากภายในสู่ภายนอก นั่นก็คือ การส่งต่อความยั่งยืนไปยังลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และการบริการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงการใช้พลังงาน ขณะเดียวกัน ก็ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การที่สามารถใช้ความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ประกอบกับการทำงานร่วมกันกับลูกค้า ในการพัฒนาระบบที่ทำให้ผู้คนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ที่ขาดแคลนน้ำ สามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดได้ เช่น การทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด ในแถบตะวันออกกลาง
ปัจจุบัน ดาว มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 6,000 รายการที่จำหน่ายอยู่ในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก มีสำนักงานทั้งหมด 35 แห่งในเอเชีย และมีโรงงานทั้งหมด 41 โรงงาน ใน 12 ประเทศ และเหตุผลสำคัญกลุ่มบริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง เพราะการทำธุรกิจแบบยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทดาวจะไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ หากบริษัทคู่ค้าไม่แข็งแรง ดังนั้น สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือการช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีความแข็งแกร่ง ด้วยการกระตุ้นให้ภาคธุรกิจ SMEs ใส่ใจด้านทรัพยากรและหลักการลีนเพื่อสิ่งแวดล้อม การเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในภาคส่วนต่างๆ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาได้เห็นหลักการตรงนี้ก็คือ การทำให้ทั้งซัปพลายเชนมีความสมบูรณ์แข็งแรง