กระบี่ - จังหวัดกระบี่ ระดมสมองจัดทำแผนพัฒนาการท่องเที่ยวฮาลาล ดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มมุสลิมทั่วโลกเที่ยวกระบี่ เชื่อมั่นศักยภาพจังหวัดกระบี่รองรับได้
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (12 พ.ค.) นายณรงค์ วุ่นซิ้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แก่หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เพื่อจัดทำแผนพัฒนาการท่องเที่ยวฮาลาล ณ ห้องประชุมพนมเบญจา ศาลากลางจังหวัดกระบี่ โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ เลขาธิการสภาธุรกิจไทย-รัสเซีย เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อการท่องเที่ยวฮาลาลกับเมืองท่องเที่ยวระดับนานาชาติ
นายณรงค์ กล่าวว่า ปัจจุบันศักยภาพของตลาดนักท่องเที่ยวมุสลิมเริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น ทั้งโลกมีประชากรมุสลิม 1.57 พันล้านคน คิดเป็นร้อยละ 23 ของจำนวนประชากรโลก โดยมุสลิมร้อยละ 20 อยู่ในทวีปเอเชีย ประเทศมุสลิมที่มีประชากรมากที่สุดในโลกคือ อินโดนีเซีย มีมากถึง 203 ล้านคน จากประชากรของประเทศ 243 ล้านคน มาเลเซีย 17 ล้านคน ปากีสถาน 174 ล้านคน อินเดีย 161 ล้านคน บังกลาเทศ 145 ล้านคน นอกจากนี้ ประเทศอื่นทั่วโลกมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่ด้วยอีกจำนวนมาก เช่น จีน รัสเซีย และเยอรมนี
จากการวิจัยของ crescentrating ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวแบบฮาลาลในสิงคโปร์ ร่วมกับ DinarStandard บริษัทในสหรัฐฯ ที่ติดตามตลาดในวิถีชีวิตของมุสลิม พบว่า ปี 2554 นักท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลกเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีมูลค่าตลาด 125,100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ คาดว่าความต้องการจะเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 4.8 ต่อปี ไปจนถึงปี 2563 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่คิดเป็นร้อยละ 3 และจำนวนชาวมุสลิมทั้งโลกจะเพิ่มจากตัวเลขปัจจุบัน 1,600 ล้านคน ไปเป็น 2,200 ล้านคน ในปี 2573 คิดเป็นร้อยละ 26.4 ของประชากรโลก
ประเทศไทย มีโอกาสเข้าไปเจาะนักท่องเที่ยวจากตลาดอินโดนีเซียได้ เนื่องจากมีปัจจัยบวกทั้งระยะการเดินทางที่ใกล้ และสะดวก สามารถบินตรงได้โดยใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษ ชาวอินโดนีเซีย มีความนิยมชมชอบในอาหารไทย ประเทศไทยมีความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยว และราคาไม่แพง จากข้อมูลของสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวประเทศอินโดนีเซีย (อาซีต้า) ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวอินโดนีเซียเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยมีอยู่ 200,000 คน ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
แนวโน้มตลาดท่องเที่ยวมุสลิมอินโดนีเซียยังคงสดใสสำหรับประเทศไทย หากเพียงแต่จะต้องเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า การท่องเที่ยวอิสลาม หรือการท่องเที่ยวเชิงชารีอะฮุ นั้นมีความแตกต่างจากการท่องเที่ยวทั่วไป ตรงที่การท่องเที่ยวเชิงชารีอะฮุนั้นไม่ใช่การเดินทางทางศาสนา หรือการเดินทางไปแสวงบุญ แต่คือการพักผ่อน และท่องเที่ยวที่เป็นไปตามหลักการอิสลาม เช่น ที่พัก อาหาร และเครื่องดื่ม จะต้องไม่มีเนื้อหมู และแอลกอฮอล์ และการแยกผู้ชายผู้หญิงในงาน หรือสถานที่ท่องเที่ยว บางอย่างที่ควรต้องแยก เช่น สระอาบน้ำ
หากประเทศไทยต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดนักท่องเที่ยวมุสลิมนี้ ควรจะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับบริการนักท่องเที่ยวมุสลิม ศึกษาแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยว และนำโมเดลการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวมุสลิมของจีน และญี่ปุ่นมาเป็นแบบอย่าง แนะนำแนวทางการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวมุสลิมแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อยกระดับ และเตรียมความพร้อมบริการนักท่องเที่ยวมุสลิมให้รู้สึกสบายเสมือนอยู่บ้าน
เพิ่มอาหาร และสินค้าที่เป็นฮาลาลให้มากขึ้น รวมถึงมีไกด์ที่สามารถพูดภาษาอินโดนีเซียได้พอเพียงต่อความต้องการ นอกจากนี้ ภาครัฐจำเป็นจะต้องร่วมมืออย่างเต็มที่กับโรงแรม ตัวแทนการท่องเที่ยว และร้านอาหาร วางแผนที่จะส่งเสริมและสร้างแพกเกจทัวร์ที่มีเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวมุสลิม สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมุสลิมให้เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยได้อย่างแน่นอน
รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวด้วยว่า สำหรับจังหวัดกระบี่ มีประชากรที่เป็นคนมุสลิมกว่า 40% สำหรับผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวเองก็เป็นมุสลิมอยู่หลายราย จึงทำให้เข้าใจในวัฒนธรรม และประเพณีของชาวมุสลิมด้วยกันได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้เปรียบกว่าหลายๆจังหวัด เชื่อว่าเมื่อนำเรื่องของฮาลาลเข้ามาผสมผสานเพื่อเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เป็นมุสลิมด้วยกันจากทุกมุมโลก ก็เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับด้วยดีอย่างแน่นอน