อิเกียเปิดตัวโครงการ “อนาคตที่สดใสกว่าของผู้ลี้ภัย” (Brighter Lives For Refugees) เมื่อซื้อหลอดไฟ LED รุ่น LEDARE/เลียดดาเร่ ที่สโตร์อิเกีย บางนา ตั้งแต่วันนี้-29 มี.ค. มูลนิธิอิเกียจะบริจาคเงิน 1 ยูโร (41 บาท) เพื่อมอบแสงสว่างให้แก่ค่ายผู้ลี้ภัย ผ่านสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
เงินบริจาคทั้งหมดที่ได้จากโครงการ “อนาคตที่สดใสกว่าของผู้ลี้ภัย” จะนำไปใช้ติดตั้งไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ ตะเกียงพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในที่พักอาศัย และเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ อาทิ เตาปรุงอาหารประหยัดพลังงานให้แก่ค่ายผู้ลี้ภัยของ UNHCR ใน 5 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ สาธารณรัฐชาด เอธิโอเปีย จอร์แดน และซูดาน
ปัจจุบัน จำนวนผู้ลี้ภัยทั่วโลกมีมากถึง 10.5 ล้านคน โดยรวมถึง 130,000 คน ที่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่ง บริเวณชายแดนไทย-พม่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ลี้ภัยทั่วโลกเป็นเด็ก พวกเขาจำต้องอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่ไม่มีแสงสว่างให้ใช้หลังพระอาทิตย์ตกดิน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะกิจวัตรในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินไปห้องน้ำ ตักน้ำ หรือแม้แต่เดินกลับที่พัก ล้วนทำได้ยากลำบากและเสี่ยงอันตราย โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยที่เป็นผู้หญิงและเด็กๆ ซึ่งเงินบริจาคจากโครงการดังกล่าวจะช่วยให้ค่ายผู้ลี้ภัยแต่ละแห่งปลอดภัยและเหมาะสมแก่การอยู่อาศัยมากขึ้นสำหรับเด็กๆ และครอบครัว ตลอดจนส่งเสริมด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วย
ศุภฤกษ์ วิเชียรโชติ รองผู้จัดการแผนกปฏิบ้ติการสายธุรกิจ อิเกีย ประเทศไทย กล่าวว่า อิเกีย บางนา สนับสนุนความเชื่อของมูลนิธิอิเกียที่ว่า เด็กทุกคนมีสิทธิอย่างเท่าเทียมที่จะอยู่อย่างปลอดภัยในที่ที่เรียกได้ว่า ‘บ้าน’ และโครงการนี้นับเป็นการกระชับสัมพันธภาพอันดีระหว่างอิเกียกับ UNHCR ที่ร่วมมือกันพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่งทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553
“หลอดไฟ LED รุ่น LEDARE/เลียดดาเร่ ใช้ได้ทนนานและประหยัดไฟกว่าหลอดอินแคนเดสเซนต์แบบเก่าถึง 85% อิเกียส่งเสริมให้ลูกค้าอยู่บ้านโดยคำนึงอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั่วโลก”
ด้าน มิเรย์ จิราร์ ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวว่า “ในปีที่ผ่าน ผู้คนกว่า 2 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย ถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปี ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินที่เพิ่มขึ้น
ความช่วยเหลือจากภาคเอกชนจึงทวีความสำคัญขึ้นอย่างใหญ่หลวง โครงการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง UNHCR และมูลนิธิอิเกียซึ่งเป็นพันธมิตรภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดนี้ จึงนับเป็นบทบาทใหม่ใน การช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ลี้ภัยจำนวนมากให้ดีขึ้นได้”
เงินบริจาคทั้งหมดที่ได้จากโครงการ “อนาคตที่สดใสกว่าของผู้ลี้ภัย” จะนำไปใช้ติดตั้งไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ ตะเกียงพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในที่พักอาศัย และเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ อาทิ เตาปรุงอาหารประหยัดพลังงานให้แก่ค่ายผู้ลี้ภัยของ UNHCR ใน 5 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ สาธารณรัฐชาด เอธิโอเปีย จอร์แดน และซูดาน
ปัจจุบัน จำนวนผู้ลี้ภัยทั่วโลกมีมากถึง 10.5 ล้านคน โดยรวมถึง 130,000 คน ที่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่ง บริเวณชายแดนไทย-พม่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ลี้ภัยทั่วโลกเป็นเด็ก พวกเขาจำต้องอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่ไม่มีแสงสว่างให้ใช้หลังพระอาทิตย์ตกดิน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะกิจวัตรในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินไปห้องน้ำ ตักน้ำ หรือแม้แต่เดินกลับที่พัก ล้วนทำได้ยากลำบากและเสี่ยงอันตราย โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยที่เป็นผู้หญิงและเด็กๆ ซึ่งเงินบริจาคจากโครงการดังกล่าวจะช่วยให้ค่ายผู้ลี้ภัยแต่ละแห่งปลอดภัยและเหมาะสมแก่การอยู่อาศัยมากขึ้นสำหรับเด็กๆ และครอบครัว ตลอดจนส่งเสริมด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วย
ศุภฤกษ์ วิเชียรโชติ รองผู้จัดการแผนกปฏิบ้ติการสายธุรกิจ อิเกีย ประเทศไทย กล่าวว่า อิเกีย บางนา สนับสนุนความเชื่อของมูลนิธิอิเกียที่ว่า เด็กทุกคนมีสิทธิอย่างเท่าเทียมที่จะอยู่อย่างปลอดภัยในที่ที่เรียกได้ว่า ‘บ้าน’ และโครงการนี้นับเป็นการกระชับสัมพันธภาพอันดีระหว่างอิเกียกับ UNHCR ที่ร่วมมือกันพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่งทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553
“หลอดไฟ LED รุ่น LEDARE/เลียดดาเร่ ใช้ได้ทนนานและประหยัดไฟกว่าหลอดอินแคนเดสเซนต์แบบเก่าถึง 85% อิเกียส่งเสริมให้ลูกค้าอยู่บ้านโดยคำนึงอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั่วโลก”
ด้าน มิเรย์ จิราร์ ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวว่า “ในปีที่ผ่าน ผู้คนกว่า 2 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย ถือเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปี ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินที่เพิ่มขึ้น
ความช่วยเหลือจากภาคเอกชนจึงทวีความสำคัญขึ้นอย่างใหญ่หลวง โครงการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง UNHCR และมูลนิธิอิเกียซึ่งเป็นพันธมิตรภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดนี้ จึงนับเป็นบทบาทใหม่ใน การช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ลี้ภัยจำนวนมากให้ดีขึ้นได้”