xs
xsm
sm
md
lg

ฟอร์ด 12 ปี ช่วยโลก ลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เป้าภายในปี 2568 ลดอีก 30 เปอร์เซ็นต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เป็นการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโรงงานฟอร์ดทั่วโลกลงได้ 37% ในช่วงปี พ.ศ. 2543-2555 และวางแผนไว้ว่าในช่วงปีพ.ศ. 2553-2568 จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงอีก 30 % เน้นให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมทั้งการพัฒนากระบวนการผลิต
ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เปิดเผยความคืบหน้าในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในรายงานความยั่งยืนประจำปี ฉบับที่ 14 โดยการทำงานตลอดที่ผ่านมา นับเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของฟอร์ดที่ต้องการส่งเสริมให้มีการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานฟอร์ดทั่วโลกลดลงแล้วถึง 4.65 ล้านตัน หรือลดลง 47 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปีพ.ศ. 2543 ทั้งนี้ ฟอร์ดยังประสบความสำเร็จในการทำงานตามแผนที่วางไว้ว่าจะลดปริมาณการปล่อยมลภาวะจากโรงงานในสหรัฐลง 10 เปอร์เซ็นต์ต่อการผลิตรถแต่ละคัน ในช่วงปีพ.ศ. 2545-2555 ซึ่งเป็นไปตามโครงการภายใต้ความร่วมมือของสหพันธ์ผู้ผลิตรถยนต์
ฟอร์ดให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงอีก ตามที่ได้ระบุไว้ในรายงาน “ร่างแผนการทำงานเพื่อความยั่งยืน: การเดินทางดำเนินต่อไป” ซึ่งในรายงานนี้บริษัทจัดทำขึ้นเองได้บอกถึงความคืบหน้าในการลดปริมาณการใช้น้ำและพลังงานประเภทอื่นๆ รวมถึงการลดปริมาณขยะจากโรงงานฟอร์ดทุกแห่งทั่วโลก
“ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผมทำงานกับฟอร์ด ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ เกิดขึ้นมากมาย ฟอร์ดได้นำเอาหลักความยั่งยืนมาเป็นองค์ประกอบในการวางแผนธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ การทำงาน และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัททุกฝ่าย” โรเบิร์ต บราวน์ รองประธานฝ่ายวิศวกรรมความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าว
ฟอร์ดมีแผนควบคุมการใช้น้ำและพลังงาน จัดการขยะ และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกอย่างเช่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการทำงานตามหลักความยั่งยืนที่เราให้ความสำคัญสูงสุด
สำหรับรายงานด้านความยั่งยืนที่บริษัทจัดทำขึ้นเองโดยสมัครใจเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2542 เพื่อเป็นการสรุปผลและรายงานความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ที่บริษัทริเริ่มขึ้นเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในขณะที่กระบวนการทำงานและผลลัพธ์จากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของฟอร์ดมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ 

เทคโนโลยีใหม่ๆ และกระบวนการผลิต ที่ควบคุมการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ฟอร์ดได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีต่างๆ ควบคู่กับการพัฒนากระบวนการทำงานในโรงงานอย่างต่อเนื่อง และบริษัทยังต้องการประสบความสำเร็จตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม นั่นคือการมีส่วนช่วยรักษาปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์บนชั้นบรรยากาศของโลกไม่ให้เกิน 450 ส่วนต่อล้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่นักวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐกล่าวว่าเป็นระดับที่ต้องรักษาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ฟอร์ดคิดค้นขึ้นเพื่อช่วยลดปริมาณการใช้น้ำมันและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือเทคโนโลยีเครื่องยนต์อีโคบู๊สต์ ซึ่งปัจจุบันติดตั้งอยู่ในรถฟอร์ดกว่า 600,000 คัน รวมถึงเครื่องยนต์อีโคบู๊สต์ขนาด 1.0 ลิตร ที่จะนำเสนอเป็นตัวเลือกเครื่องยนต์รุ่นหนึ่งในรถฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ที่จะเปิดตัวในประเทศไทยช่วงปลายปีนี้
ด้านการผลิต ฟอร์ดได้นำกระบวนการพ่นสีสุดทันสมัยแบบ 3-Wet มาใช้เพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ กล่าวคือ บริษัทได้นำกระบวนการพ่นสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในโรงงานอีก 4 แห่งใน 3 ทวีปทั่วโลก การนำกระบวนการดังกล่าวมาใช้ นอกจากจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานในกระบวนการพ่นสีแล้ว ยังคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 25 เปอร์เซ็นต์ ณ โรงงานแต่ละแห่ง
ทั้งนี้ โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ที่ทันสมัยจากการลงทุน 450 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท) ในจังหวัดระยอง นับว่าเป็นหนึ่งในโรงงานฟอร์ดที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดในโลก เอฟทีเอ็มได้นำกระบวนการพ่นสีแบบ 3-Wet High Solids มาใช้ในกระบวนการผลิตเช่นกัน
นอกจากนี้ ฟอร์ดยังแสดงถึงความสำเร็จด้านความปลอดภัยและการดำเนินงานอย่างยั่งยืน ได้แก่
•การฝึกอบรมผู้ผลิตชิ้นส่วน 325 รายด้านการบริหารงานอย่างยั่งยืนในปีพ.ศ. 2555 ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามระเบียบการด้านสิทธิมนุษยชน สภาพแวดล้อมในการทำงานพื้นฐาน และการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โครงการดังกล่าวได้ฝึกอบรมผู้ผลิตชิ้นส่วนแล้วเกือบ 2,100 ราย
•ลดปริมาณขยะฝังกลบลง 19 เปอร์เซ็นต์ต่อรถแต่ละคันในช่วงปีพ.ศ. 2554-2555 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดปริมาณขยะฝังกลบลง 40 เปอร์เซ็นต์ต่อรถแต่ละคันภายในปีพ.ศ. 2559 (เทียบกับตัวเลขจากปีพ.ศ. 2554)
•ลดปริมาณการใช้น้ำทั่วโลกลง 1.95 ล้านลูกบาศก์เมตรในช่วงปีพ.ศ. 2554-2555 โดยเมื่อคำนวณจากราคาน้ำในแต่ละภูมิภาคของโลกโดยประมาณพบว่า บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้กว่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 90 ล้านบาท)
กำลังโหลดความคิดเห็น