รอยเตอร์ - จีนรั้งตำแหน่งผู้นำการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2012 สวนทางกับความพยายามในการลดระดับก๊าซเรือนกระจกของทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ในวันจันทร์ (10)
รายงานข่าวระบุว่า ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโลกเพิ่มขึ้นจาก 1.4% เป็น 31.6 พันล้านตัน จากการประมาณการของไออีเอ (IEA) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้ปล่อยและผลิตก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยปล่อยออกมามากถึง 300 ล้านตันในปีที่ผ่านมา
ทางด้านสหรัฐฯ ได้มีการเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินมาใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนซึ่งมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ถึง 200 ล้านตัน ซึ่งนั่นเท่ากับระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ของเมืองลุงแซมในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990
ถึงแม้ว่าจะยังมีการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นในบางประเทศของยุโรปเนื่องจากราคาถ่านหินลดต่ำลง แต่ระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในยุโรปก็ลดลง 50 ล้านตัน เพราะว่าเศรษฐกิจเฉื่อยลง การเติบโตของพลังงานทดแทน และการจำกัดระดับเพดานการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ของโรงงานอุตสาหกรรมและบรรดาบริษัทพลังงาน
อย่างไรก็ตาม การปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในญี่ปุ่นกลับเพิ่มขึ้น 70 ล้านตัน เนื่องจากความพยายามที่จะนำพลังงานอินทรียสารกลับมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพนั้นล้มเหลว ภายหลังการเกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะในปี 2011
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า จากระดับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในสภาพการณ์ปัจจุบันนั้นจำต้องตรึงเอาไว้ให้ได้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสภายในช่วงศตวรรษนี้ เพื่อป้องกันการเกิดสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกและการเพาะปลูกที่ล้มเหลว
อย่างไรก็ดี เป้าหมายดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถรักษาระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโลกให้อยู่ประมาณ 44 พันล้านตันจนถึงปี 2020